วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 9 รูปร่างหน้าตาเผด็จการในประเทศไทย

บทที่ ๙ ตอน : รูปร่างหน้าตาเผด็จการในประเทศไทย

ท่านผู้อ่านโปรดทราบ...ผมมีภารกิจ ต้องเดินทางเข้าไปในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะอยู่หลายวัน ผมจึงเขียนบทที่ ๙ ส่งมาให้อ่าน "ล่วงหน้า" ดังนี้ครับ

ขอเริ่มว่า "ท่านทั้งหลาย" ย่อมจะได้ยินจนเบื่อ เช้าก็เผด็จการ เย็นก็เผด็จการ ทำราวกับว่าประเทศไทยของเรานี้มิได้มี "ประชาธิปไตย" เอาไว้ติดประเทศเลยซึ่งจะสวนกับความรู้สึกของประชาชนในประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม จริงหรือ แต่บนภาพที่ได้พบเห็นนั้นพบว่ายังมีบุคคลบางพวก บางตระกูล จะทำอะไร ก็สามารถทำได้ไม่ต้องเกรงกลัวความผิด ดังเช่นพวกพันธมิตร สันติอโศกพรรคมะแลงสาบ และทหารใหญ่ อำมาตย์ใหญ่ เป็นต้น
แน่นอนที่สุด คนที่มั่งคั่งร่ำรวย มีอำนาจล้นเหลือ ได้รับประโยชน์จากประเทศไทยมากมายมหาศาล ก็จะเห็นว่าประเทศนี้มีประชาธิปไตย แต่สำหรับคนไทยที่ยากจน ชนชั้นกลาง รวมทั้งพวกรากหญ้าทั้งหลายจะพากันคร่ำครวญว่าประเทศไทย ไม่มีประชาธิปไตย มันมีแต่ระบอบเผด็จการ เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ขูดรีดชีวิตเต็มไปด้วย ควาแร้นแค้นแสนสาหัส คนที่ยากจน ก็จะพากันกล่าวว่าประเทศไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย

เรื่องนี้ ผมขออนุญาตแสดงตนเป็นผู้อธิบายความเกี่ยวกับ "ปัญหาประชาธิปไตย"เพื่อเป็นการถ่ายทอด บอกกล่าวเล่าเรื่อง และสาธยายเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของระบอบเผด็จการให้แก่สังคมไทยได้รับเอาไปวางลงต่อหน้า แล้วช่วยกันวิเคระห์ว่าเผด็จการมีอยู่จริงหรือเปล่า ?!

ก่อนที่จะว่าต่อไป ผมขอนำท่านย้อนกลับไปสู่อดีต ก่อนปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ อันเป็นยุคพระเจ้าแผ่นดินทรงอยู่เหนือกฏหมาย เรียกว่าระบอบ "สมบูรณาญาสิทธิราช" อันหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็น "รัฐาธิปัตย์" หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "กษัตราธิปไตย" ระบอบกษัตราธิปไตยครองประเทศยาวนานมากกว่า ๒,๐๐๐ ปี จึงได้มีบุคคลคณะหนึ่งเรียกว่าคณะราษฎร มีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า ตามด้วย นายปรีดี พนมยงค์ พันตรี ป. พิบูลย์สงคราม และคนอื่นๆอีก ๖ - ๗ คน ได้ร่วมกัน"ยึดอำนาจการปกครอง" จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แล้วกราบบังคมทูลให้เสด็จลงมาอยู่ใต้กฏหมาย เรียกว่าระบอบประชาธิปไตยอันมี กษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้ราษฎรทั้งหลายเป็นเจ้าของ "รัฐาธิปัตย์" ซึ่งต่อมาได้ถูกเรียกขานว่าประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

นับแต่นั้นเป็นต้นมา คำว่า "ประชาธิปไตย" ได้กลายเป็นสิ่งงดงาม เป็นที่ปรารถนาของประชาชน แต่เอาเข้าจริง อำนาจ "อธิปไตย" (รัฐาธิปัตย์) ตกไม่ถึงมือประชาชน ผลปรากฏว่าพวกอำมาตย์ทั้งหลาย อันมีทั้งอำมาตย์หลวง และอำมาตย์เอกชน (นายทุน - ขุนศึก) ต่างพากันอิ่มหมีพีมัน อ้วนท้วน สมบูรณ์ มีอำนาจกอบโกย "ประชาธิปไตย" สุดแต่ใจจะปรารถนา

เมื่อกอบโกยโดยวิธีธรรมดาไม่ได้ ก็จะอาศัย "รถถัง" ลากออกมาจากกรมกองแล้วบุกเข้ายึดอำนาจ ทำลายองค์กรจัดตั้งของระบอบประชาธิปไตย เช่น ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเขี่ียนายกรัฐมนตรีที่มา จากการเลือกตั้ง แล้วแต่งตั้งคนของตนเอาขึ้นมาครองอำนาจแทน

การเข้าครอบครองทั้งหลายทั้งปวงดังว่า ประชาชนชาวบานไม่เคยคัดค้านขัดขวางแม้จะทำแล้วทำอีกรวมมากกว่า ๒๗ ครั้งในรอบ ๗๗ ปี ก็ไม่ว่าอะไร เมื่อเอาเครื่องคิดเลขมาจิ้มดูจะพบว่า ๒ ปีกับ ๘ เดือน "เดี๋ยวป่วย เดี๋ยวไข้" กลายเป็นคนมีโรคออด ๆ แอด ๆ

ในรอบ ๗๗ ปี สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ทหารทำปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้งอย่างไม่กระดากอาย เกิดจากมีพวกพรรคการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย ต่างพากันเงียบ ไม่กล้าต่อต้าน ตรงกันข้าม เมื่อเขาหยิบยื่นตำแหน่ง "สภานิติบัญญัติ" หรือ "ตำแหน่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง" ก็จะพากันอ้าแขนรับ ทำให้ทหารเกิดความสะดวกโยธินในการใช้ระบอบเผด็จการตักตวงผลประโยชน์อย่างสนุกสนาน

มาถึงวันนี้ เมื่อคนเสื้อแดงไม่ยมอก้มหัวให้ คนเสื้อแดง แดงเต็มแผ่นดินออกมาต่อต้านทหาร เผด็จการ ทำให้ทหารเกิดความโกรธ เกลียด และชิงชังคนเสื้อแดงแล้วได้ใช้งบประมาณมากมาย ลงไปหว่านในหมู่ประชาชนคนรากหญ้า เพื่อจะสอนให้ประชาชนเกิดความรัก ความชื่นชม ในหมู่ของพวกเขา พวกเขาจะทำ สำเร็จหรือไม่ ไม่นานคงได้รู้ว่าหมู่หรือจ่า

ที่ผมอธิบายมานี้ พอจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเผด็จการขึ้นมาบ้างแล้วถ้าจะมองเห็นลึกเข้าไป ถึง "รากเหง้า"เราจะพบว่าพวกเขาได้เสียกันโดยไม่เห็นแก่ ประเทศชาติ และ ไม่เห็นแก่ประชาชน

พวกเขาชื่นชมประเทศไทยว่าเป็นประชาธิปไตยก็เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายได้ได้แล้วได้อีก ได้ตลอด ๗๗ ปี และจะได้ในอีก ๑๐๐ ปีข้างหน้า

สิ่งที่พวกเผด็จการพากันได้ทั้งหมดนั้น ได้เบียดเบียนความสุขของประชาชนเบียดเบียนประเทศ ขาติ ไม่ให้มีความเจริญก้าวหน้า ไม่มี "รัฐสวัสดิการ" ให้แก่คนรากหญ้าเพราะพวกเขาได้ทุกสิ่งทุก อย่าง ไม่มีอะไรตกหล่น แถมแม้ว่าจะมีฃความผิด ก็ไม่เกรงกลัวความผิด ดังเช่น กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อย่าว่าแต่กษิตเลยแม้แต่ตัวของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีเองก็เป็นผู้นั่งทับระบอบเผด็จการเอาไว้เต็มก้น อำนาจที่ได้มานั้นได้มาจากวิธีการ "หักดิบ" ภายใต้วิธีการเผด็จการ

รูปร่างหน้าตาของเผด็จการ ดูไม่ยาก แต่ที่พากันดูยาก เนื่องจากสื่อสาร มวลชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะ เป็นวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ ล้วนแต่พากันเป็นลูกหาบให้ทหารเผด็จการ

จึงกลายเป็นการเลี้ยงดูระบอบเผด็จการให้เติบโต ดีเหมือนกัน จะได้เห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจนขึ้น จริงไหมขอรับ ?!

จบบทที่ ๙ :/ สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น