วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 29 สงครามเงียบ จาก นสพ.สยามรัฐ

บทที่ ๒๙ตอน : สงครามเงียบ จาก นสพ. สยามรัฐ !

ผมเป็นแฟนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ อ่านไม่เลือกว่างั้นเถอะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ตระกูลไดโนเสาร์เต่าพันปีที่เสนอข่าวไม่มีจุดยืน เพียงแต่ขอให้ได้ประโยชน์จากการเสนอข่าว เต้าเอาข่าวไปขายกิน ผมยังคงเป็นแฟนเต็มเปี่ยมของหนังสือพิมพ์เหล่านั้น ผมจึงต้องเสียเงินวันละหลายบาทเพื่อจะได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่วางขายอยู่บนแผง

หนังสือพิมพ์ "สยามรัฐ" ฉบับวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ หน้า ๑ ได้พาดหัวข่าวว่า "ล้มฎีกาเสื้อแดง มท. ตั้งโต๊ะรับถอนรายชื่อ" แล้วก็มีหัวข่าวรองลงมาว่า " ประวิตรฟิวส์ขาดดับเครื่องชน" ต่อจากนั้นก็มีเนื้อข่าวอื่นๆในหน้า ๑ อีกหลายข่าว

ในเนื้อที่ของหน้า ๑ ซ้ายมือ มีคอลัมน์ "ล้วงมาเล่า" เขียนเรื่อง "สงครามเงียบ" ผมเห็นว่าน่าจะถ่ายทอดเอามาไว้ใน "ใบปลิวกู้ชาติ" (บทที่ ๒๙) เพราะมันเกียวกับปัญหาของประเทศชาติบ้านเมืองทั้งดุ้น ผมเชื่อว่าเมื่ออ่านจบจะวิจารณ์ได้เองว่า ท่านรู้สึกอย่างไร

ผมขอเริ่มเลยนะครับ นสพ.สยามรัฐใส่หัวเรื่องแล้วร่ายยาวว่าสงครามเงียบปล่อยให้ "คนเสื้อแดง" ย่ามใจเคลื่อนไหวล่าลายชื่อประชาชนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ "นายใหญ่" มาระยะหนึ่ง คล้ายกับเป็นการ "ล่อให้มาติดกับ" ในที่สุดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายตรงกันข้ามทักษิณ ก็ดาหน้าออกมาต่อต้านอย่างพร้อมเพรียงกัน

เริ่มตั้งแต่กลุ่มนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพรรคภูมิใจไทยจนมาถึงการออกโรงของ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล โฆษกฝ่ายข้าราชการประจำกระทรวงมหาดไทย ที่นำข้าราชการกระทรวงมหาดไทยสมาชิกวุฒิสภาบางคน และองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรที่ที่เกี่ยวกับการปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันแถลงต่อต้านการถวายฎีกา

รวมถึงการออกมาคำรามของ "บิ๊กเสือ" พล.อ. พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี และการแสดงความไม่เห็นด้วยของนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา

ขณะที่ก่อนหน้านี้ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มสยามสามัคคีซึ่งฟาดฟันกับคนหน้าเหลี่ยมมาตลอดก็ไม่มีการวางเฉยอยู่แล้ว เรียกว่าตอนนี้ขบวนต้านการถวายฎีกา ยกพลออกมาเป็นแผงส่งให้คนเสื้อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ

แม้ว่าแกนนำ ปนช. จะบอกว่าได้รายชื่อเกินล้านแล้ว จะไม่มีใครหยุดถวายฎีกาได้ โดยจะทำการชุมนุมในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (ขณะเขียนบทที่ ๒๙ การชุมนุมเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่แล้วครับ) เพื่อรวบรวมรายชื่อครั้งสุดท้ายกันที่ท้องสนามหลวง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแรงต้านทุกสารทิศเช่นนี้ ก็ยังมองไม่เห็นว่า นปช. จะเดินหน้าอย่างไร

สถานการณ์ในขณะนี้ จึงนับเป็น "สงครามเงียบ" ระหว่างสองฝ่ายที่ตึงเครียดที่สุด และพร้อมที่จะปะทุเป็นการเผชิญหน้าระหว่างประชาชนสองฝ่ายได้ทุกเมื่อ / จบบทความ ผมชอบใจการนำเสนอข่าวของสยามรัฐ เพราะได้ชี้ให้เห็นความเป็นจริงในปัจจุบันว่าพลังคนเสื้อแดงนั้นได้เขย่าสังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดแรงสะเทือนอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตนั้น พลังของอนุรักษ์นิยมและพลังของพวกเผด็จการพากัน "ครอบงำ" สังคมเอาไว้ในอุ้งมือ แล้วกดหัวให้จมดิ่งอ้อยสร้อย ไม่มีมนุษย์คนไหนจะกล้าขึ้นเสียง

นสพ. ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเก่งกล้าแลมีะบารมีคุ้มครอง ก็ยังไม่กล้าขึ้นเสียงเลยครับ

มาในวันนี้ มีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่กล้าโผล่หน้าอย่างเปิดเผย แล้วยืนโซ้ยกับหมาวัดหมาบ้าน เล่นงานคนชั่วอย่างไม่เกรงใจ บางคนยอมเอาคุกเป็นเดิมพัน

ดังจะเห็นได้ว่ามีนักสู้ทั้งหญิงและชาย กลายเป็น "นักโทษ" ไปเรียบร้อย

ผมจึงรู้สึกดีใจยิ่งนักที่ประเทศไทยมีคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังรู้สึก "สะใจ" ที่จะได้เห็นคนเสื้อสีต่าง ๆ ออกมาดิ้นเหมือนตัวอะไรถูกน้ำร้อน ซึ่งกล่าวได้เลยว่า นับวันยิ่งจะเพิ่มจำนวนคนที่ถูกน้ำร้อนสาดใส่หน้ามากขึ้น

คำว่า "คนเสื่อแดงหัวเดียวกระเทียมลีบ" มิได้มีความหมายคำว่า "ออกมาต่อต้านเป็นแผง" มิได้ทำให้เราหนักใจ และคำว่า มท. ตั้งโต๊ะให้ประชาชนเข้าแถวขอถอนชื่อก็จะไม่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงบ้าจี้ตาม ทั้งนี้เนื่องจากแดงทั้งแผ่นดินทังหลายทั้งปวง มิใช่แดงจากเสื้อผ้าเท่านั้น แต่มันแดงลึกเข้าไปในเส้นเลือด

ผมอยากจะบอกว่า เรื่องมันเกิดมาจากพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาพรรคไทยรักไทยว่าเป็นระบอบทักษิณ แล้วกล่าวหาทักษิณว่าคนขี้โกง พวกเขาเล่นงานทักษิณด้วยหัวใจเปรต มิได้มีความจริงเลยแม้แต่น้อย

หนังสือพิมพ์และสื่อทั้งหลายย่อมตระหนักดีว่า ข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นของปลอม มิได้มีความจริงเลย ยิ่งไปกว่านั้นข้อกล่าวหาว่า "ไฝ่จะเป็นประธานาธิบดี" ยิ่งไม่มีความเป็นจริง

ข้อกล่าวหาเหล่านี้ มิได้เกิดกับทักษิณคนเดียว พวกเสื้อเหลืองได้กล่าวหาพ่วงคนเสื้อแดงเข้าไปด้วย เรื่องมันยาวมาถึงขั้นนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะถอยหลัง มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่เหลือ

กล่าวคือพวกเผด็จการและพรรคประชาธิปัตย์ต้องหันหน้ามาขอโทษ ออกกฏหมายนิรโทษ นำทุกคนกลับเข้าสู่ความสงบ สงครามเงียบ จึงจะหายไป...โปรดรู้เอาไว้ด้วย

จบบทที่ ๒๙ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น