วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 35 ถวายฏีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด

บทที่ ๓๕ ตอน : ถวายฎีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด ?!

ผมต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” อย่างแรง ที่หยุดพัก โดยไม่ลา

ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ แต่มีภารกิจรัดแน่นจนหาเวลา ปลีกตัวไม่ได้ เนื่องจากต้องตามไปดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงไกลจากโต๊ะทำงาน โดยไม่ได้หิ้วโน้ทบู๊คส์ไปด้วยทำให้ผมไม่สามารถผลิตงานแม้แต่ชิ้นเดียว

บทที่ ๓๔ คงจะทำให้ท่านเข้าใจเรื่องราวที่ผมเขียนถึงพี่น้อง “ต่างด้าว” ที่เข้ามาอยู่ในประเทศว่าเป็นต้นเหตุทำให้พวก “ขุนศึก” ติดนิสัยขูดรีดจนเคยตัว แล้วก็เลยขึ้นไปถึงพวกศักดินาที่เอาแต่เปิบผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อด้วยความ ลุ่มหลง จนลืมไปว่าชนชั้นของตัวเองได้กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมหัวโบราณ ที่อาศัยเผด็จการเป็นรังนอนอย่างยาวนาน สุดท้ายมันได้ทำให้ประเทศไทย ทั้งประเทศตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังที่คนทราบดี

วันนี้ (๑๑ สิงหาคม/๕๒) ผมขอเสนอท่านด้วยใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ดังนี้

ขอเริ่มว่าสภาวะของวงจรอุบาทว์ได้ทำให้ “คนอุบาทว์” เกิดขึ้นมาในชาติ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่คิดอิจฉาริษยา หรือไม่ก็อาจจะอาศัย “ความอุบาทว์” บ่อนทำลายความมั่นคงสถาบันของชาติถึง ๒ สถาบัน อันได้แก่สถาบันศาสนา (พุทธ) และสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่อุบาทว์คือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป) และพวกอำมาตย์ใหญ่หลายคน

ข้อวินิจฉัยว่าทำไมจึงเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และอำมาตย์ใหญ่หลายคน พากันบ่อนทำลายความมั่นคง ก็ต้อง “วิสัชนา” ว่าเชื่อมาจากการกระทำให้คน ในชาติเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เกลียดชังกัน ดังจะเห็นได้จากการ “กล่าวหา” คนใดคนหนึ่งว่าเป็นคนไม่รักพระเจ้าแผ่นดินแล้วกล่าวหาเลยไปถึงขั้นว่าคนผู้นั้น มันคิดจะเป็นประธานาธิบดี

ข้อกล่าวหาเช่นนี้ มองแบบปกติวิสัยมันเป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสี

แต่ถ้ามองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้มันหมายถึงการวางแผนก่อวินาศกรรม สังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดความขัดแย้งกัน และวิธีที่จะทำให้สังคมไทยทั้งสังคม เกิดความขัดแย้งกันได้ก็มีอยู่ทางเดียว นั้นก็คือการแยก “ความรัก” ที่มีต่อ พระเจ้าแผ่นดินให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา

คนพวกหนึ่งโยนโครมลงไปว่า “ไอ้หมอนั่นมันไม่รักเจ้า” แล้วพากัน โห่ร้องขึ้นมาว่า มีแต่พวกของตนเท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร การกระทำ ของคนพวกนั้นมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ถึงขั้นขึ้นป้าย “ปกป้องสถาบัน” กระจายไปทั่วทุกจังหวัด

ป้ายปกป้องสถาบันอันใหญ่โต รวมไปถึงป้ายอื่น ๆ ที่กำลังติดตั้งอยู่บน แผงโฆษณาทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ดังที่ผมได้พบเห็นมาตั้งแต่เดือนเมษายน มาจนถึงเดือนสิงหาคม/๕๒ มันไม่ได้ทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ตรงกันข้าม มันยิ่งทำให้แตกแยกกันมากขึ้น ป้ายพวกนี้จึงกลายเป็นป้ายทำลายความมั่นคง ทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก กล่าวคือจะปลดออกก็จะกลายเป็นความ พ่ายแพ้ ครั้นคงเอาไว้ก็จะทำลายความสามัคคี

ความอุบาทว์ของคนพวกนั้นได้เดินทางมาไกลสุดไม่อาจดึงให้ถอยหลังได้ ตรงกันข้ามยิ่งนานวันยิ่งตอกลิ่มว่าคนที่ชั่วมีอยู่คนเดียวคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อพวกเขาลงมติยืนกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ ได้ทำให้ประชาชน “ครึ่งค่อน” ประเทศ เต็มใจที่จะเป็นคนชั่วตามทักษิณไปด้วย

ครั้นประชาชนพากันยืนกรานอยู่เคียงข้างทักษิณ แทนที่จะหาทาง “ปรองดอง” เพื่อจะได้ระงับข้อพิพาท กลับพากัน “ยัดเยียด” ความเลวร้ายให้ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น

โดยมิพักสงสัย ผมจึงกล้าที่จะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่าเจตนาอันแท้จริง ของคนพวกนั้น ได้แก่ความคิดอันชั่วร้าย ใช้ความอุบาทว์เป็นเครื่องมือ “วางแผน ล้มเจ้า” อย่างแนบเนียนที่สุดต่างหาก หาใช่เป็นการทำเพื่อให้เกิดความมั่นคง แต่ประการใดไม่

ที่ว่าแนบเนียนนั้นนับว่าชัดเจนมาก เนื่องจากประดา “ชนชั้นสูง” แห่ไป สนับสนุนพวกที่ทำอุบาทว์ด้วยการกล่าวประณาม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หนักหน้าขึ้นกว่าเดิม อันเป็นการเพิ่มกระแสความร้อนแรงให้คุกรุ่น รอแต่ว่ามัน จะระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาในวันไหน

ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่าขณะเขียนบทความนี้บทที่ ๓๕ อยู่นี้ ก็มีข่าวจากวงในว่าทหารน้อยใหญ่กำลังวางแผนจะใช้มาตรการ “รุนแรง”ปราบปรามคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้หลายวัน (ประมาณวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒) ตำรวจ-ทหาร ประมาณ ๕,๐๐๐ นาย ซ้อมปราบจลาจลที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น.

นายศดิศ ใจเที่ยง ประธานชมรมคนแท็กซี่สุวรรณภูมิแจ้งกับผมว่า เขาเตรียมการใหญ่เพื่อจะปราบปรามคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีการ “เตรียมพร้อม” ทั้งในกองทัพและกองบัญชาการ ทำราวกับว่า การปราบปรามนั้นจะช่วยให้ สถานการณ์ดีขึ้น

เปล่าเลย...ผมว่ามันไม่มีทางดีขึ้น ตรงกันข้าม มันยิ่งจะเลวร้ายลง ข่าวมิได้มีเพียงแค่การเตรียมกำลังเอาไว้ปราบปรามเท่านั้น ยังร้ายแรงถึงขั้น จะทำการยึดอำนาจการปกครองอีกครั้ง โดยพากันกล่าวว่าถ้าทหารยึดอำนาจครั้งนี้ จะจัดระเบียบประเทศใหม่จะไม่ให้มีเหลือง น้ำเงิน และคนเสื้อแดง หลงเหลืออยู่ ต่อไป

ผมรับฟังข่าวมาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ทว่า...แม้จะไม่เชื่อก็ตามที แต่วันนี้คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงจุดถวายฎีกา อย่างไม่มีทางเลี่ยงแล้วพระคุณท่าน ไม่ว่ารัฐบาลจะวิ่งขวางเพียงไรก็ไม่อาจระงับ ยับตั้ง “การยื่นถวายฎีกา” ได้เลย ตรงกันข้าม ยิ่งรัฐบาลแห่ออกไปขวาง ยิ่งเร่ง ให้มวลมหาประชาชนรวมตัวกับคนเสื้อแดงมากมายยิ่งขึ้น

มีคำถามว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คำตอบก็คือ พวกอำมาตย์เป็นคนอุบาทว์ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่เข้าใจคำว่าอุบาทว์ ตลอดทั้งคนในแวดวง “ชนชั้นสูง” พากันตกเป็นเหยื่อของ คนอุบาทว์ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็น “ม่านบังตา” ให้มืดบอด มองอะไรไม่เห็น

เมื่อมองไม่เห็นก็ย่อมจะตกลงไปในหลุมพรางที่พวกอุบาทว์ขุดเอาไว้ ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกล่าวว่าคนอุบาทว์ในประเทศไทยมีอยู่หลายกลุ่ม ผมจะนำเอาความจริงมาเล่าให้ฟังว่าพวกที่เป็น “ตัวการ” สนับสนุนการแบ่ง แยกดินแดน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เป็นบุคคล กลุ่มแรกที่วางแผนให้คนไทยตีกัน

คนกลุ่มนี้ก็คือคนไทยขนานแท้ที่มีตำแหน่งการงานในวงราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนกลุ่มนี้ไมได้แสดงออกว่าสนับสนุนการก่อการร้าย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชี ของโจรพูโล [PULO]อำพรางว่าไม่สนับสนุนโจรพูโล

คนกลุ่มนี้แหละได้วางแผนที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย อีกด้านหนึ่งด้วยการร่วมทำงานยุให้คนไทยแตกแยกกัน ถ้าสามารถทำให้คนไทย แตกแยกกันได้ ก็จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนง่ายดายขึ้น (ข้อมูลดังกล่าวนี้ ผมกับ “คีย์แมนโทน” ร่วมกันวิเคราะห์หลายปี) !

คนอีกพวกหนึ่งได้แก่ “สันติอโศก” ที่ต้องการเผยแพร่พระพุทธศาสนา แนวใหม่ ต้องการล้มล้างหลักการของคณะสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งคณะสงฆ์ก็ตระหนักดี คนกลุ่มนี้ได้ตั้งกองทัพธรรมขึ้นมาเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือรบกวนสังคมให้ปั่นป่วน แล้วใช้เวทีของม็อบป่าวประกาศให้คนได้ยินไปจนทั่วว่าคนนั้นเป็นภัยของพระเจ้า แผ่นดิน คนนี้ (พวกสันติอโศกและพันธมิตร) เท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร

ดังตัวอย่าง “น้องโบว์” ตายคนเดียว (ถูกระเบิดของตัวเอง) ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน รวมทั้งการตายของ“นายตำรวจ”ที่ขับรถบรรทุกระเบิด เอามาจอดไว้ที่หน้าพรรคชาติไทย วางแผนผิดพลาด เกิดระเบิดใส่ตัวเองตาย ยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ

ลืมไปว่าทหารตำรวจที่ตายในสนามรบมีมากมาย นี้คือตัวอย่างของคนอุบาทว์ ยังมีอีกขอรับ อันได้แก่พวกที่เกลียดชังเจ้า แต่ตัวเองรับใช้อยู่ใกล้สถาบัน ไม่กล้าแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสถาบัน ได้กระทำบ่อนทำลายคนที่รักชาติ อย่างเอาเป็นเอาตาย ดังจะเห็นได้จากการ กระทำของ“องคมนตรี” บางคน ล้วนแต่เข้าข่ายพวกอุบาทว์ทั้งสิ้น

เรื่องราวทั้งหลายที่ผมกล่าวมา เราจะสามารถอ่านลึกเข้าไปในความลี้ลับได้ โดยไม่ยากว่าคนที่ต้องการให้บ้านเมืองปั่นป่วนนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่

แต่ก็น่าแปลกเหลือเกิน ผมเขียนเยี่ยงนี้ติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ไม่เคยได้รับการสอบถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่าเป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครอง ก็ไม่เคยมีใครเชื่อถือ นอกจากไม่เชื่อถือ ในคำพูดของผม ยังตำหนิผมเสียด้วยว่าบ้าไปหรือเปล่า

ผมบอกว่าผมไม่บ้า ผมบอกว่า สักวันหนึ่ง ความจริงจะปรากฏ แล้ววันนั้นก็มาถึง...

วันนี้ไง...วันของคนเสื้อแดงไม่มีที่พึ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าสู่ระบรมมหาราชวัง พากันทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณให้ทรงปลดปล่อยความทุกข์ ออกจากใจของพวกเขา คนเสื้อแดงไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน พากันลงชื่อขอถวายฎีกา

ยังจะมีคนเสื้อแดงอีกนับล้าน ที่ลงชื่อสนับสนุน ท่านผู้อ่านครับ ผมไปที่ท้องสนามหลวง ไปที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และไปที่พัทยา ในขณะคณะของ นปช. แห่ไปอุดร เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนแต่ได้ยินเสียงเรียกร้องขอความยุติธรรม และความเป็นธรรม

วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! จึงเป็นวันของความขัดแย้งที่ทะลุขึ้นสู่ ยอดปราสาทพระบรมมหาราชวังอย่างไม่มีทางไหนที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ ตรงกันข้าม หากมีการ “ยับยั้ง” ยิ่งจะเร่งให้เกิดความวุ่นวายและจะบ่ายหน้าไปสู่ความเลวร้าย

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติในบทก่อนๆ ท่านจะทราบดี ว่าบ้านเมืองมาถึงจุดนี้แล้ว จะดึงถอยหลังกลับแบบปกติธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมก็ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผู้ให้” อันหมายถึงรัฐบาลต่างหาก ที่จะจัดการให้ สถานการณ์อยู่ในสภาพไหน

ถ้ารับฟังกันแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างนุ่มนวล หากพากันต่อต้านก็จะเกิดความรุนแรง ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ก็ยังคงยืนยันในหลักการเดิม ผมยังคงปรารถนาอยากให้พวกอำมาตย์รีบหันหน้ามาปรองดองกับคนเสื้อแดง หันหน้ามาแก้วิกฤติ ของชาติ แก้รัฐธรรมนูญ แก้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นอุปสรรคต่อระบอบระชาธิปไตย

แล้วเอาคนชื่อทักษิณ กลับมา ทักษิณได้กลับประเทศไทย จะทำให้คนไทยมองหน้ากันติด ต่อไปก็จะ หาทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง เมื่อแก้ได้สำเร็จภายในเวลาอันไม่นาน ก็จะทำให้สังคมไทยค่อยเขยิบขึ้นและดีขึ้นในที่สุด

สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อประเทศชาติมันอาจจะเกิด การทุบตีกันขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง มันมีเหตุอีกหลายประเด็นที่จะทำให้ คนไทยรังแต่จะทุบตีกัน หากเป็นเช่นนี้ก็อย่าหวังว่าจะสามารถสร้างให้ชาติปรองดอง กันได้ จึงเหลืออยู่ช่องเดียวคือให้ยอมรับหนังสือถวายฎีกา บังคับให้ออกหัว

ถ้าไม่ ยอม มันจะเกิดการนองเลือด ?!!

จบบทที่ 35 สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น