วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 15 นิติรัฐ..ไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย

บทที่ ๑๕ ตอน : นิติรัฐ ..ไปกันใหญ่แล้วประเทศไทย ?!!

นึกไม่ถึงว่าสถานการณ์ด้าน "นิติรัฐ" ของประเทศไทยจะไปกันใหญ่ แต่มันก็เป็นไปแล้ว ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศ "ไร้กฎหมาย" ไปเสียแล้ว ดังจะเห็นได้จากกรณี กกต. ชี้มูลความผิด ส.ส. ว่าทั้งตัวเอง และ ภรรยาพากันไปถือหุ้น ในระดับที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ มีโทษร้ายแรงถึงขั้นต้องขาดจากการเป็น ส.ส. แต่กลับปรากฎว่าพรรคประชาธิปัตย์สวนออกมาทันทีว่า เรื่องนี้ยังไม่ร้ายแรง เพราะต้องรอให้ศาลรัฐธรรมนูญ "ชี้ความผิด" ก่อน แล้วจึงมาว่ากัน

เห็นไหม มันทำไมจึงแตกต่างจากกรณีชี้ความผิดของ นาย สมัคร สุนทรเวช แตกต่างจากการชี้ความผิดรัฐมนตรี ที่ใช้นามสกุล "สะสมทรัพย์" และแตกต่างอย่างยิ่ง ที่ได้พิพากษายุบพรรคพลังประชาชน และพ่วงพรรคอื่นอีก ๒ พรรคโดยใช้กระบวน "ศาลเดียว" เอามาสร้างประวัติศาสตร์การพิพากษาคดีพรรคการเมืองจบสิ้นลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ดังที่ ประฃาชนชาวไทยได้เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นผ่านไปแล้ว

ครั้นมาถึงวันนี้ เมื่อ กกต. ประกาศออกมาชัดขนาดนี้ แต่เหตุใดเล่าพรรคประชาธิปัตย์ จึงพากันถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ไม่กระทบกระเทือนต่อฐานะของรัฐบาล แถมมีการออกข่าวประคับประคองพวกเดียวกัน โดยมิได้ตระหนักต่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฏหมาย เรียกว่า ไม่ใส่ใจต่อกระบวนการนิติรัฐใด ๆ ทั้งสิ้น

ความจริง คนเสื้อแดงก็คงมิได้แปลกใจต่อการกระทำของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ดอกครับ เนื่องจากพวกเราตระหนักดีว่า ประเทศนี้ได้ใช้มาตรฐานไร้ขื่อไร้แป เป็นเครื่องมือรักษา อำนาจอย่างหน้าด้านมาแล้ว สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่และได้ทำมาแล้ว รวมทั้งจะทำต่อไป ล้วนแต่เป็นระบบ "สองมาตรฐาน" ตรงตามตำราของเผด็จการ

อย่าว่าแต่รัฐบาลเลยครับ แม้แต่พวกเสื้อเหลือง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สันติอโศก และม็อบพันธมารทั้งหลาย ก็พากัน "ทุบความเป็นธรรมทิ้ง" ด้วยวิธีการขนผู้คนจำนวนมากไปที่สโมสรตำรวจเมื่อ วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เอารถบรรทุก ๑๐ ล้อขนเครื่องไฟ เครื่องขยายเสียงไปด้วยหลังจากนั้น พลตรี จำลอง ศรีเมือง ก็ได้ขึ้นไปบนเวที แล้วประกาศว่าพวกเขาเป็น"ผู้ก่อการดี" ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ตามหมายเรียกตัว ที่กองบัญชาการตำรวจแห่งชาติื ตั้งข้อหาให้แก่พวกเขา ตำรวจทำแบบนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนผิด ทั้ง ๆ ที่ ทำแต่คุณงามความดี ว่าเข้าไปโน้น ดูเขาพูดซีครับ...มันช่างน่าทึ่งยิ่งนัก นึกไม่ถึงเลย ว่าจะกล้าพูดออกมาอย่างนี้ มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีนายพลตำรวจโท (พล.ต.ท.) ตำแหน่ง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ดูเหมือนว่าชื่อ "วุฒิ" แต่งตัวใส่สูท ขึ้นไปบนเวที แล้วจับไมค์ ส่งเสียงออกมาว่า ตัวเขาเองตามดูมาโดยตลอด ตั้งแต่วันวันโน้น มาจนถึงวันนี้ ก็เห็นกับตาว่า "เป็นการก่อการดี" มิใช่ การก่อการร้าย...?!!

นายตำรวจใหญ่ท่านนั้นพูดออกมาทั้งๆที่เป็นผู้รักษากฏหมาย เอาเข้าให้ไหมล่ะ...ลัทธิเผด็จการมันออกฤทธิ์แล้วไหมล่ะ
ผมนั่งตัวแข็ง สงสารประเทศไทยของเราเหลือเกิน ดูซิ กฏหมายไม่มีความหมายแล้ว พระคุณท่าน ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปตามใจชอบ เห็นไหม นายสุริยะใส กตะศิลา และ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ขึ้นมาร่ายยาว ล้วนแต่อ้างว่าเป็นการทำคุณงามความดีทั้งสิ้น

ผมคิดของผมในใจว่า ปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ คงจะไม่ส่ง "ผลเสีย"เฉพาะด้าน กฏหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น มันจะก่อความเสียหายร้ายแรงต่อระบบองค์รวมของสังคมไทย อย่างไม่มีทางเลี่ยง มันจะทำให้ "ประเทศไทย" ไร้ขื่อไร้แปมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว

มีคำถามว่าแล้วเราจะทำอย่างไรดี ?

คำถามนี้กำลังร้อนระอุอยู่ในหัวใจของคนที่รักชาติ รักประชาธิปไตย โดยเฉพาะคือ "คนเสื้อแดง" อันมี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นความ หวังของพวกเราว่าท่านผู้นี้จะเป็นผู้นำพาคนไทยทั้งประเทศ "กอบกู้"ประเทศชาติให้รอดพ้นจากเงื้อมมีอมาร และหวังจะได้กอบกู้นิติรัฐกลับคืนมา

ใช่...มันไม่ง่าย แต่มันไม่มีทางอื่น มันมีอยู่ทางเดียวคือต้องสู้เพื่อจะกอบกู้ประเทศชาติ อันเป็นที่รักยิ่งมิให้ตกไปอยู่ในมือของพวกเผด็จการแบบไร้ขื่อไร้แปแบบนี้ การประกาศสู้คง จะไม่ง่าย เพราะพวกเผด็จการจะหาทางเล่นงานคนเสื้อแดงอย่างไม่ปราณีเป็นแน่แท้

ผมอยากนำนิทานสาทกมาเล่าให้ฟังว่า ประเทศชาติเป็นของคนส่วนใหญ่มิใช่สมบัติให้ คนหยิบมือหนึ่งเชยชม สิ่งที่กล่าวมานี้เคยเกิดในฝรั่งเศส จีน เกาหลี เวียดนาม ลาว และ อีกหลายประเทศ และสุดท้ายคงจะพ่วงประเทศไทยเข้าไปด้วย

ถ้าประเทศไทยถูกพ่วงเมื่อไร เมื่อนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่คนไทยคิดไม่ถึง มันจะร้อน หรือหนาว ยังไม่รู้ รู้แต่ว่า "ไม่มีความอบอุ่น" ไม่มีความแจ่มใส แต่มันจะเต็มไปด้วยเลือดและ น้ำตา ทั้งนี้โดยเก็บเอาเกล็ดประวัติศาสตร์ในประเทศที่ผมออกชื่อมา เอามาคลี่ตัวอย่างหรือ ถือเป็นแซมเปิ้ลทางประวัติศาตร์อันไม่อาจปลอมแปลงได้

ในชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์เหล่านั้น ชนชั้นผู้ปกครองเป็นคนบีบคั้น ประเทศของตัวเอง ให้กลายเป็น "หมากรุกเข้าตาจน" โดยที่ประชาชนมิได้ก่อขึ้น ตรงกันข้าม ประชาชนต่าง หากคือเหยื่อของเผด็จการ ถูกพวกเผด็จการเล่นงานงอมพระราม จนในที่สุดเขาต้องลุกขึ้น ต่อสู้ จนกลายเป็นการกวาดล้างไปนั้นแล

วันนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศไร้นิติรัฐไปได้ถึงขั้นนี้ ซึ่งเป็นบันไดไต่เข้าหาความเลวร้าย โดยพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของเผด็จการคอยกำกับเวทีผมเชื่อว่าความเลวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจาก "เจตน์จำนง" ต้องการให้นองเลือดเพื่อจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการทำยุทธหัตถี ไปสู่การล้มล้างระบอบการปกครอง

ท่านผู้อ่านที่เคารพ...หากท่านผู้ใดรักเจ้าจริง มีหัวใจเทิดทูลสถาบันจริง โปรดเก็บเอา บทความของผมไปศึกษา แล้วค้นหาความจริงโดยพลัน อย่าโอ้เอ้วิหารราย...หากพวกท่านยัง คงงมมะหราอยู่กับการกล่าวหา "คนเสื้อแดง" อยู่เช่นนี้ ท่านระวังให้ดี คนที่ต้องการให้ประเทศ "เกิดการจราจล" กำลังปั่นหัวคนไทยอย่างสนุกมือ

ท่านจะแก้ไขไม่ทัน การปฏิเสธนิติรัฐ เป็นอีกกลยุทธหนึ่งในจำนวนหลายกลวิธีที่พวกต้องการล้มเจ้ากำลัง ร่วมมือกัน "เล่นละครฉากใหญ่" โดยมีหัวหน้าใหญ่ ยืนกำกับเวทีไม่ห่าง..ซึ่งมีทั้งพวกเส้นใหญ่ และมือที่มองไม่เห็นไว...เห็นแต่เงา ไม่รู้ว่าเป็นใคร ?!!

จบบทที่ ๑๕ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น