วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 22 สอาด จันทร์ดี เป็นใคร (ต่อ)

บทที่ ๒๒ ตอน : สอาด จันทร์ดี เป็นใคร (ต่อ) ?

ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านทั้งในและต่างประเทศว่า แท้ที่จริงผมไม่อยากโฆษณาประชาสัมพันธ์ตัวเอง แต่เนื่องด้วยโทรศัพท์ที่โทรพูดคุยกับผมนั้น ค่อนข้างจะเหยียบหยามด้วยการพูดจาสบปรามาสในทำนองว่า "เอาแต่เขียน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองหาได้มีค่าอะไรไม่"

เมื่อผมได้รับฟังเช่นนั้น ผมเกิดสงสัยต่อไปว่า อย่าว่าแต่คนที่โทรศัพท์พูดคุยด้วยเลย อาจจะมีอีกหลายท่านที่มีความรู้สึกเช่นนั้น ผมจึงควรแสดงตนออกมา ให้ปรากฏดีกว่าจะทำให้ความสงสัยของท่านทั้งหลายหมดไป จะได้ช่วยกันตีฝ่า วงล้อมเผด็จการได้สำเร็จ

ผมขอเรียนว่าประวัติของผม สืบสานและเกาะกันเป็นพวง สามารถ เจาะถามเอากับตัวบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ตลอดเวลา ท่านเหล่านั้น เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ในทุกรณี เช่นนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี นายประสิทธิ์ ไชยทองพันธุ์ อดีตอธิบดีกรมการจัดหางาน พล.อ.ต.วิชาคม อำนรรฆมณี นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปก/นปช. (รู้จักกันปี ๒๕๑๔) นายประจวบ ไชยสาส์นนักการเมืองใหญ่แห่งที่ราบสูง นายอดิศร เพียงเกษ นักปฏิวัติแห่งภูพาน สหาย คำจันทร์ สหายสายธาร (ลูกสะไภ้นักปฎิวัติใหญ่ - ขุนพล พคท.) พันเอก (พิเศษ)ชวัติ วิสุทธิพันธ์ - พันเอก (พิเศษ) มานะ เกษรศิริ เป็นต้น

ตัวผมนั้น เป็นคนสูงอายุไปเสียแล้ว ไม่นานคงจะลาโลกไปสู่ภพชาติ ข้างหน้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเกิดบนโลกใบนี้ หรือไปเกิดบนโลกใบอื่นอันเป็นดวงดาวเฉกเช่นโลกของเรา ที่มี "โลก" อีกมากมายในมหาจักรวาลน้อยใหญ่ (คิดตามพุทธทฤษฎี) !

ด้วยเหตุแห่งอายุขัย ที่กำลังนับวันถอยหลัง ที่ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งเอาไว้ได้ คือ ความตาย ผมจึงมีความปรารถนาเฮือดสุดท้ายว่า ขออุทิศชีวิต ความรู้ความสามารถ มอบให้แก่ ประเทศชาติและ "มหาชนประชาชน" ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้

บังเอิญมีคนโทรศัพท์ในเชิง "เหยียดหยาม" ทำให้คิดอีกด้วย ผมจึงมีจิตใจที่หนักแน่นที่จะเผยแพร่อุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยมีจุดม่งหมายจะทำความ เข้าใจกับสังคม ให้รับลูกต่อ ท่านเหล่านั้นจะได้กระโดดลงสู่สนามรบ ทำการ "รบ" กับพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ พวกเผด็จการบ้าอำนาจ รบกับพรรคการเมืองที่เป็น ทาสของอนุรักษ์นิยม และรบกับ "ความไม่เป็นธรรม" ?! ทำให้ประเทศไทยมีแต่มาตรฐานเลวแสนเลวปกครองประเทศ

ท่านผู้อ่านขอรับ ในบทที่ ๒๑ ที่อภินันทนาการท่านผ่านไปด้วยประวัติ ของผม จบลงด้วยถ้อยคำสุดท้ายว่า ชีวิตในช่วง ๕๐ ถึง ๗๓ ปี (คือปีนี้ ๒๕๕๒) ซึ่งมีข้อความบางประโยคที่ เขียนเอาไว้ว่า "ชีวิต ๒ มุม ๒ ง่าม" นับว่าเป็นเรื่องราว ที่มีพื้นที่ยาวเหยียด จึงจะสามารถจดจารึก ให้มีความสมบูรณ์ได้ กล่าวให้ชัดก็คือ เรื่องราวของผมไม่น้อยกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นเรื่องราวของการเผชิญโชค การผจญภัย อันเกิดจากการไปทำมาหากินปนกับการได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ "เป็นสายลับ" ทั้งจากฝ่ายซ้าย และจากฝ่ายขวา

ผมจึงเรียกขานตัวเองว่า ชีวิต ๒ ง่าม ๒ มุม "หรือ ๒ มุม ๒ ง่าม" ?! นั้นแล ผมขอกล่าวว่าในช่วงที่ผมเข้าร่วมกับ พคท. ผ่านอาจารย์ประเสริฐ ภายใต้การนำ ของ นาย วีระ ถนอมเลี้ยง และ นาย บุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ หรือรู้กันในนาม "สหายวี" กับสหาย "มักกะสัน" งานที่ได้รับมอบหมาย คือ การให้ความรู้แก่กรรมกรชนชั้นกรรมาชีพ ผมจับงานนี้เป็นงานทดสอบความ สามารถ ด้วยการเปิดอบรมขึ้นทั่วสมุทรปราการ อ้อมน้อย อ้อมใหญ่ และเขต ปริมณฑล

สามารถรวบรวมกรรมกรเอาไว้เป็นกลุ่มก้อนประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คนเมื่อได้มวลชนแน่นอน จึงได้จัดการประชุมสมัชชาขึ้นในซอยศาสนา มีแกนนำเข้าประชุม ๒๓ คน (ขอสงวนนาม) ที่ประชุมลงมติ ให้ใช้แนวทาง "ปฎิวัติสันติ"ซึ่งเป็นตรงกันข้ามกับแนวทาง "โค่นล้ม" ด้วยอาวุธ ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย (พคท.) !

นับแต่นั้นก็ได้เร่งรีบขยายผล แนวทางปฏิวัติสันติ อันเป็นที่มาของการ หาทางใช้คำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้กล่าวเสมอว่าเป็นผู้ นำความสงบกลับมาสู่ประเทศไทย แท้ที่จริง ปฏิวัติสันติไม่อาจเกิดขึ้นมาได้ เนื่องจาก "ฝ่ายขวา" กำลังฮึกเหิมในการปราบปราม ผกค. ชนิดเมามัน และ มันมือกับความตาย

ผมขอเรียนว่า ขณะนั้นผมเป็นนักเขียนน้อย ๆ คนหนึ่ง รู้จักกับนักเขียนใหญ่ ของ นสพ. สยามรัฐ ของท่านหม่อมคึกฤทธิ์ ปราโมช ชื่อ "ประสก" ผมเลยถือโอกาสให้ท่าน ประสก พาผมเข้าพบท่านหม่อมคึกฤทธิ์ เพื่อจะเล่าเรื่องลี้ลับ"ปฏิวัติสันติ" ให้ฟัง ท่านหม่อม ฟังผมเข้าใจโดยไม่ยาก ท่านยอมให้ผมเป็นวิทยากรลัทธิสังคมนิยมกับแนวทาง "ปฏิวัติสันติ" ให้ความเข้าใจแก่ท่าน ท่านหม่อมอยู่กับผม ๕ ชั่วโมงเต็ม

เมื่อผมสามารถชี้แจง จุดดีจุดเด่นของปฏิวัติสันติได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ผมรีบรายงานให้หัวหน้าของผมทราบ แล้วก็รอคอยดูผลว่าการ "จัดตั้ง" ของผมที่ทำขึ้นในหมู่ชนชั้นสูงสำเร็จในระดับไหน ผมรอฟังผลมาประมาณ ๑๘ วัน ท่านหม่อม บอกผ่านท่านประสกว่า "ใช่...ปฏิวัติสันติ คือแนวทางยุติสงครามกลางเมือง แล้วได้สั่งว่า อย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้แก่ใครนะ ให้เก็บเป็นความลับ จนกว่าจะตาย

ในขณะรอคอยปฏิบัติการปฏิวัติสันติ ผมรีบกลับสู่มวลฃนระดับล่างแต่ก็มีอุปสรรค เพราะ "เทิดภูมิ ใจดี" กับ "อารมณ์ พงษ์พงัน" แนบแน่นอยู่กับสายป่า พากันขนอาวุธเข้ามากักตุนไว้ที่หมู่บ้านนักกีฬาแหลมทอง

ทั้งสองคนนี้ ขัดขวางผมไม่ให้ประกบมวลชน โดยเฉพาะ คุณอารมณ์ พงษ์พงัน กับพวกพากันรุมทำร้ายผม จับผมโยนบก ที่หน้าตึกกรมจัดหางาน กระทรวงมหาดไทย โชคดีกระดูกไม่หัก

ในช่วงนั้น แม่ทัพใหญ่ "แม่ทัพจำเนียร" ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ กับคุณวีระ ถนอมเลี้ยง ออกความเห็นว่า จะต้องผนึกกำลังทั้งกรรมกร ชาวนา ชาวไร่ ขยายวงตีโอบทุนนิยม

แต่เอาเข้าจริง กรรมกรล้วนแต่เป็นลูกจ้างอยู่ในโรงงาน ชาวนาชาวไร่ ก็กระจัดกระจาย ไม่อาจจับเอามารวมกลุ่มกันได้

ครั้นมองเข้าไปในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แม้จะมี ทปท. (กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทย) ก็จริง แต่จำนวนนักรบที่ถืออาวุธมีไม่ถึง ๔,๐๐๐ คน ส่วนกองกำลังจรยุทธ และพวกแนวร่วมแม้จะมีมากมายถึง ๖๐,๐๐๐ คน ก็ไม่อาจเทียบกับกองทัพแห่งชาติ (กองทัพเรือ ทัพบก ทัพอากาศ และตำรวจ ตะเวณชายแดน) ซึ่งมีขนาดมหึมา ถ้ามีการรบขั้นแตกหัก จะมีแต่แพ้กับแพ้

แต่ถึงกระนั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยยังคงตั้งหน้าตั้งตาจะ "รบขั้นแตกหัก" เพราะได้ยึดถือแนวทางโค่นล้มด้วยอาวุธอย่างเด็ดเดี่ยว โดยปฏิเสธแนวทางสันติอย่างสิ้นเชิง

ในสถานการณ์ตรงนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแบ่งเป็น ๒ ขั้ว ทางด้านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ยังคงยืนยันแนวทางสันติ ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ยืนยันแนวทางอาวุธ

พวกแนวทางอาวุธได้ประชุมกันที่ซอยหมอเหล็ง (ผมจะไม่เอ่ยนาม บุคคลที่เข้าร่วมประชุม) ท่านเหล่านั้นได้แก้ไขปัญหากำลังรบไม่เพียงพอด้วยการหันหน้าไปพึ่งประเทศมหาอำนาจสังคมนิยม คือประเทศจีน จึงเจรจาขอยืม "กองทัพจากจีน ๕ ถึง ๙ กองพล พร้อมรถถัง เครื่องบินรบ และหน่วย ปฏิบัติการเพื่อการปฏิวัติ ขนาดใหญ่โตที่จะสามารถยึดประเทศไทยได้

โดยคาดหมาย เอาไว้ว่า วันใด พคท. ยึดกรุงเทพฯ จะมี "ทหารป่าใต้ดิน" ที่ซ่อนตัวอยู่เยาวราช ออกมาช่วยยึด แล้วทำการรวบอำนาจให้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน ๓ วัน หรืออย่างมากไม่เกิน ๙ วัน

ผมรู้ความลับ รีบจูงท่าน ประสก ไปกราบท่านหม่อมคึกฤทธิ์ อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ได้ผลครับ ท่านหม่อนคึกฤทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี
เดินทางไปขอพบท่าน ประทานเหมา เจ๋อ ตุง พร้อมกับนำ "ข้อสนทนาระดับ เอาเชื้อชาติเป็นเดิมพัน" โดยกล่าวว่า ถ้าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยชนะสงคราม คนจีน (นายทุนน้อย-นายทุนใหญ่) ไม่น้อยกว่า ๖ ล้านคน จะไม่มี แผ่นดินอยู่ เช่นเดียวกับคนจีนในลาว เขมร และเวียดนาม หากท่านประธานฟังเข้าใจ ก็ขอให้มีคำส่ง "ยุติการสนับสนุน พคท." ส่วนการยุติสงครามนั้น คนไทยจะดำเนินการเอง ไม่ต้องอาศัยกองกำลังจากประเทศจีนแม้แต่คนเดียว

ท่าน ประสก กระซิบบอกกับผมว่า "น้องอาด...น้องแน่มาก ท่านหม่อม ทำสำเร็จ ท่านประ ธานเหมา สั่งให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน เลิกให้ความช่วยเหลือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศ ไทยแบบเบ็ดเสร็จ ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั่งสิ้น..."ในที่สุด สถานีวิทยุเสียงประชาชนจากปักกิ่งก็มีอันปิดตัวลง

ท่านครับ..ก่อนหน้านี้เล็กน้อย ผมกระโดดคว้าปัญหาการว่าจ้างไม่เป็นธรรม เอามาเป็นประเด็น โดยถือเอาตัวเลขค่าจ้าง ของพี่น้องกรรมกรที่มีรายได้วันละ ๕ ไม่เกิน ๘ บาท แม้จะเป็นช่างชั้นดี ก็ไม่ถึง ๑๐ บาทเอามามาคิดหาทางช่วยเหลือ

ผมจึงขอนัดพบกับผู้นำแรงงาน คุณ ไพศาล ธวัชไชยนันท์ คุณ ขันติ์ ตรีเกษม คุณ ทนง เหล่าวานิช แล้วเราก็ลงมติกันว่าจะชุมนุมประท้วงใหญ่เรียกร้อง ค่าแรงขั้นต่ำให้แก่พี่น้องกรรกร

ในที่สุดเราก็สามารถ บีบบังคับให้ระบอบเผด็จการประกาศจัดตั้งค่าแรงขั้นต่ำวันละ ๑๒ บาท ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนั้นเป็นการทดสอบ ปฏิวัติสันติ

ขอกล่าวเพิ่มเติม ขยายความก้าวหน้าของปฏิบัติการทดสอบปฏิวัติสันติต่อไปว่า ต่อมาได้เรียกร้องให้ "ตั้งกระทรวงแรงงาน" แยกตัวออกมาจากระทรวง มหาดไทย และได้เรียกร้องให้มีการ "ประกันสังคม" โดยยกตัวอย่างมาจากประเทศ อุตสาหกรรมหลายประเทศ แต่เรื่องนี้ ตกค้างมาตั้งแต่ "จอมพลประภาส จารุเสถียร" เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นาย เชาว์วัส สุดลาภา เป็นเลขานุการ จอมพล ประภาส ปฏิเสธที่จะสนับสนุน แต่เมื่อได้โอกาส ผมเริ่มทำงานต่อทันที กว่าจะได้ผลสมความมุ่งมาตรปรารถนา ก็เล่นเอานายวีระ ถนอมเลี้ยง นายบุญเที่ยงเจริญพิทักษ์ ต้นแบบความคิดแบกสังขารคอยไม่ไหวท่านทั้งสอง พากัน "อำลาโลก" อย่างไม่มีวันกลับ

ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมเขียน "สอาด จันทร์ดี" เป็นใครเอาไว้ในบทที่ ๒๑ แล้วก็มาเขียน ต่อในบทที่ ๒๒ คือบทที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ ผมถือว่า "ใบปลิวกู้ชาติบททนี้" เป็นยอดบันทึกแห่งความทรงจำ ที่ทรงอานุภาพเพราะสามารถทำให้ "ประเทศไทยรอดพ้นจากการปฏิวัตินองเลือดได้สำเร็จ

แม้ประวัติศาสตร์จะไม่ได้บันทึกชื่อผมไว้ ผมก็ไม่เป็นไร แต่ทว่า..หลังจากประเทศไทยรอดพ้นจากการปฏิวัตินองเลือด แทนที่ประเทศไทยจะได้รับกลิ่นไอ ของประชาธิปไตย เนื่องจากพวกเผด็จการขุนนาง พวกพรรคการเมืองใหญ่ เช่นพรรคมะแลงสาบ เขาไม่รู้จักที่ไปที่มา แทนที่พวกเขาจะรีบทำการ "ปฏิวัติสังคม" ให้เกิดความเป็นธรรม พวกเขากลับพากันเป็น "ร่างทรง" เผด็จการ เฉกเช่น พระยา มโนปกรณ์นิติธาดา เป็นร่างทรงของเผด็จการกึ่งทุน-กึ่งศักดินา (ปี ๒๔๗๖)ทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิดจนกระทั่งบัดนี้

ผมขอกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่า แท้ที่จริงแล้วผมเหนื่อยอ่อนและ เมื่อยล้าเต็มทน นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้มีโอกาสสู้ฟัดกับพวกเผด็จการอีก แต่ด้วยเหตุ แห่งฟ้าดินไม่ละทิ้งโอกาส อันงามของประชาชน ทำให้ "สันติอโศก-โพธิรักษ์" พลตรี จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พรรคมะแลงสาบ พากันขยำประเทศ จนเละไปกับมือ ทำให้ทหารอ้างเป็นปัญหา ก่อการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! แล้วขับไล่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ออกจากอำนาจอันชอบธรรม แล้วพากันสร้าง "กรอบเผด็จการขึ้น" ดังที่เห็น

จากสถานการณ์ที่เกิดจากความชั่วดลบันดาน ทำให้ผมได้เห็น "คนเสื้อแดง" แดงทั้งแผ่นดิน ทำให้ผมอ่านขาดว่า ทาง ๒ แพร่งมาถึงแล้วนั้นก็คือ การปฎิวัติสังคมจักมาถึงไม่นานเกินรอ อันจะเป็นได้ทั้ง "แบบนองเลือด"หรืออาจเป็นได้ทั้งแบบ "สันติ" ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพวกอำมาตย์จะเลือกเอาทางไหน

ผมขอกล่าวว่า รบหนนี้... เป็นทั้งฉากเริ่มต้นและฉากสุดท้ายของระบอบการเมืองที่เส็งเคร็ง จริงหรือไม่จริง

ไม่นานเกินรออย่างแน่นอน !

ขอกราบเรียนว่า "สอาด จันทร์ดี" เป็นใคร ? อาจจะมีต่อ ขึ้นอยู่ที่ ความจำเป็นว่าควรหรีอไม่ควร ถ้าควรก็จะเขียนอีก ถ้าไม่ควรก็จะหยุด คนที่โทรมา ตำหนิผม กรุณาอ่านให้จบนะครับ.

จบบทที่ ๒๒ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น