วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ ๔๕ บทสุดท้าย “ตอนจบ” ใบปลิวกู้ชาติ

ผมได้ทำงานรับใช้ “ท่านผู้อ่าน” มาถึงวันอำลาแล้วครับ

ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้เป็นฉบับตอนจบ (๘ กันยายน ๒๕๕๒) !

จบลงด้วยการ “ขมวดปม” ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าปัญหาของชาติคืออะไรบ้าง พร้อมกับมีข้อเสนอแนะที่เข้าใจง่ายอีกเช่นกัน เพื่อทุกฝ่ายจะได้นำเอาไปใช้เป็น “แนวทาง” แก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม ให้หลุดไปจากวิบากต่างๆที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

ผมขอกราบเรียนกับท่านว่า “บทสุดท้าย” อันเป็นตอนจบของใบปลิวกู้ชาติ จะมีความยาวไม่มาก ผมจะรีบย่นย่อให้กระชับ ดังนี้

ปฐมเหตุที่ ๑ : สาเหตุหลัก ๕ ประการ

ประการที่หนึ่ง : ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาร้ายแรงจนแทบว่าแผ่นดินจะแตก เกิดจากพวก “ขุนนาง” และพวกอำมาตย์ใหญ่ “ทั้งอำมาตย์หลวงและอำมาตย์เอกชน” เป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ มีความทะเยอทะยานอยากในอำนาจมากมาย กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมความเป็นอยู่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกบคนจน-จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

ประการที่สอง : พวกขุนนางและอำมาตย์พากันกระทำความผิดต่อตัวบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นการ “กลั่นแกล้ง” ทางการเมืองที่โฉดชั่วด้วยการใช้กำลังทหารเผด็จการ “ยึดอำนาจการปกครอง” แล้วกุเรื่องอันเป็นเท็จ ใส่ความ กล่าวหา ตั้งข้อหาราวกับว่าเขาผู้เป็นโจรร้าย เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้หยิบยื่นข้อกล่าวหา “หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” อันเป็นการตั้งข้อหาของพวกเผด็จการที่บ่อนทำลายความสามัคคีอย่างร้ายแรงที่สุด

ประการที่สาม : แม้ข้อกล่าวหาจะร้ายแรงเพียงไร พวกเผด็จการหาได้หยุดการกระทำไม่ ยังคง “เดินหน้า” กล่าวหาต่อไปด้วยการแยกคนพวกหนึ่ง (คนเสื้อเหลือง) รักเจ้ามากที่สุด อีกพวกหนึ่ง (คนเสื้อแดง) ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำจะล้มล้างระบอบการปกครอง อันเป็นการแยกคนในชาติให้เกิดความแตกแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน

ประการที่สี่ : ทั้งหลายทั้งปวง ปรากฎว่ามีคนอยู่เพียง ๒ กลุ่มเท่านั้น ที่ปฏิบัติเป็นศัตรูต่อกัน คือพวกเสื้อเหลือง – เป็นฝ่ายกระทำ พวกเสื้อแดง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่กระทำ ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ตาย คนที่ถูกกระทำ ฮึดสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนคนเสื้อแดงขึ้นมายัน ทำให้ “การต่อสู้” เกิดการประจันหน้า จวนเจียนจะเกิดสงครามนองเลือด ดังตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (วันสงกรานต์เลือด) ที่คนเสื้อแดง นำโดย นปช.
รวมตัวกันขับไล่เผด็จการ รัฐบาลได้สั่งให้ทหารออกมาปราบด้วยมาตรการเด็ดขาด หากใครขัดขืน จะไม่มีการละเว้น ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอันน่าสะเทือนใจ

เหตุการณ์ในวันนั้น จบลงได้ภายในเวลาอันไม่นาน เนื่องจากฝ่ายแกนนำ “นปช.” ตัดสินใจยุติการขับเคลื่อนด้วยการยินยอมมอบตัวแก่เจ้าพนักงาน โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กับเพื่อนแกนนำยอมเป็นผู้ต้องหา ไม่วิตกว่าจะได้รับโทษร้ายแรงเพียงไร

สมมติว่า แกนนำ นปช. ต้องการเอาชนะการต่อสู้ในวันนั้น ก็จะไม่มีการ “ลดราวาศอก”ใดๆทั้งสิ้น อันจะเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชน ถ้ามีการปะทะกันในวันนั้น เชื่อได้เลยว่าโฉมหน้าของประเทศไทยจะพลิกจากซีกหนึ่งไปอีกซีกหนึ่ง อันจะเป็นต้นเหตุให้ประชาชนทะลักออกมาสู้บนท้องถนนมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็ได้ หรือจะกลายเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ก็ได้




ประการที่ห้า : ปัญหาที่เกิดในประเทศไทยดังกล่าวมา เกิดจากระบบสังคมของประเทศนี้เป็นระบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่พากันแอบอิง “ระบอบ” เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วพากันใช้อำนาจเผด็จการเข้าครอบงำสังคมเอาไว้ การครอบงำแต่ละครั้งล้วนแต่ได้ใช้วิธีกาอันไม่เป็นธรรมกับประชาชน เช่นการปฏิวัติเงียบ การใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง เป็นต้น พวกเขากระทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรากฎว่าได้รับความสมหวัง (ชนะ) ทุกครั้ง นับแล้วมากกว่า ๒๘ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ ดังนั้น พวกเขาจึง “ย่ามใจ” ไม่เคยมีความละอายใจว่าได้กระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชนคนเสื้อแดง



ปฐมเหตุที่ ๒ : ประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ อำนาจ ๒ เจ้าของ ?!

สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาจากปัญหาเดียว ปัญหานั้นได้แก่ “อำนาจอธิปไตย” มีหลายเจ้าของ กล่าวคือที่ว่าประเทศไทยมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจนั้น แท้ที่จริง คำพูดดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นความจริงได้เลย ความจริงที่แท้จริงได้แก่อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของอำมาตย์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยทั้งปวง ไม่ได้เป็นของคนรากหญ้าโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจทั้งปวงเป็นของคนรวยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
วิธีการทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ สำรวจได้จากสถานะของคนรวยนั้น จะได้อำนาจทางการเมืองจากการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนรวยสามารถครอบครองปัจจัยการผลิต ปัจจัยการครองชีพได้มากมายไม่มีขอบเขต คนรวยและคนมีอำนาจจะสามารถเกาะกุมอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ที่เป็นไม่เป็นธรรม โดยไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กล่าวให้เห็นชัดมากขึ้น โปรดดู
(๑) “อธิปไตยของปวงชน” ว่าเป็นจริงหรือไม่ ?
(๒) “เสรีภาพของประชาชน” มีความเป็นจริงเพียงไร ?
(๓) อำนาจใน “กรรมสิทธิ์” ต่างๆนั้น ประชาชนพากันมีได้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงคำยกย่องสรรเสริญให้หลงเข้าใจผิดว่าประชาชนได้ทุกอย่างเท่านั้น ?


สรุปแล้ว เจ้าของอำนาจที่อยู่เหนือกว่าประชาชนคนรากหญ้า ได้แก่พวกขุนนาง-อำมาตยาและพวกคนรวยทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพิเคราะห์ได้เลยว่าประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้มีผู้ถืออำนาจเหนือประชาชน .. ?!

ปฐมเหตุที่ ๓ : ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูป ?!

ดังที่กล่าวมา ทำให้เราได้พบความจริงว่า “พวกขุนนาง-อำมาตย์และคหบดี” ทั้งหลายพากันอาศัยโครงสร้าง “อำนาจนิยม” แบ่งเป็นพวกใครพวกมัน ตั้งตัวเป็นใหญ่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เกาะกุมผลประโยชน์อย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข พวกเผด็จการทั้งหลายจึงพากัน “ซ่อนรูป” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความอบอุ่นและฮึกเหิมอย่างยิ่ง แล้วพากัน “กบดาน” ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมิได้พะวงว่าประเทศชาติจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเพียงไร ดังจะเห็นได้จากกรณีข้อขัดแย้งของคนไทยในวันนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าก่อความเดือดร้อน ไม่ยอมหยุดการกระทำ แม้จะมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกเขาหาได้มีความวิตกกังวลแต่ประการใดไม่ ?!

แนวทางแก้ปัญหา :
(๑) วิธีการและ
(๒) ความหวัง

ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าคนไทยจะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบอ้อยอิ่ง ไม่จริงใจ อันรังแต่จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา

๑ : แนวทางแก้ปัญหามีวิธีการอยู่ ๒ อย่าง

แนวทางที่ ๑ : แก้โดยฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ทหารตำรวจ ข้าราชการและนักวิชาการทั้งหลาย ยอมรับรู้ความจริง แล้วรีบสร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติขึ้นมาโดยด่วน เพื่อจะได้จัดการให้คนไทย “ปรองดอง” กันทั่วประเทศ ประการสำคัญได้แก่การยอมรับความจริงว่าพวกตนได้กระทำกับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ย่อมไม่เป็นการยากที่จะแก้ปัญหาของชาติได้

แนวทางที่ ๒: ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องเป็นภาระของคนเสื้อแดงที่จะต้อง “ระดม”สรรพกำลังให้ได้คนเสื้อแดงถึงร้อยละ ๗๐ – ๗๕ ของประเทศ พลังเสื้อแดงมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ให้พรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเด็ดขาดให้ได้ เพื่อจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการ “ยกเครื่อง” ประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากอำนาจเผด็จการ

๒ : ความปรารถนาและความสมหวัง ?

ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีความปรารถนาอย่างร้อนแรงอยากเห็นประเทศไทยได้รับการแก้ปัญหา แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่าฝ่ายเผด็จการมีจุดยืนเป็นเสื้อเหลืองเกือบเต็มร้อยที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และอีกหลายพื้นที่ในภาคอื่น ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์อันอบอุ่น เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายครอบครองปัจจัยการผลิต และปัจจัยการครองชีพ พวกเขามีคนไทยเป็นลูกค้าทั้งประเทศ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่ได้กับได้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฝ่ายกันข้ามคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงจะเข้าไปลดอำนาจเถื่อนของพวกเขา ถ้าผมกล่าวเช่นนี้ ก็จะมองเห็นได้เลยว่า เป็นการยากที่จะได้รับความสมหวัง แล้วเราจะทำอย่างไร ?

คำตอบก็คือคนเสื้อแดงต้องเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทำงานให้เกิดเอกภาพมากยิ่งขึ้น
มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งให้ได้


ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่าเหตุที่ผมเรียกร้องหา “แนวทางการเลือกตั้ง” ก็เพราะว่าแนวทางนี้เป็นแนว “ปฎิวัติสันติ” ตามต้นแบบของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกถ้าประเทศไทยไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหา แต่พากันไปใช้ “ทหารเข้ามายึดอำนาจ” หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นเช่น “โกงการเลือกตั้ง” เป็นต้น ก็จะทำให้คนไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในการพัฒนาปรชาธิปไตยด้วยการกระบวนการ “โค่นล้ม” ด้วยพลังประชาชน”ปฎิวัติ” อันไม่พึงปรารถนา

ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์..!

เผด็จการจะเลือกเอาทางไหน...ขึ้นอยู่ที่พวกขุนนางทั้งหลาย ?!

จบบริบูรณ์ / สอาด จันทร์ดี

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ 44 ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.)

บทที่ ๔๔ ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.) ?!!

ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๔๓ บทขอรับ ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๔๔ อีกบทเดียวก็จะจบแล้วครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าบทที่ ๔๕ จะเปิดเผย “รายชื่อ” บุคคลที่เป็นตัวการทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย (ดีหรือไม่ดี) ทั้งนี้ อาจจะมี “คุก” เป็นเดิมพัน ในข้อหา “หมิ่นประมาท” หรืออะไรก็ไม่ทราบ จึงได้แก่กราบเรียนเอาไว้ว่าจะเขียนให้จบลงอย่างมีประโยชน์แก่ประเทศชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รอคอยอีกไม่กี่วันก็จะได้อ่านบทที่ ๔๕ ภายในสัปดาห์หน้านี้ขอรับ

ผมขอเริ่มบทวิพากย์ในเชิงประวัติศาสตร์ในบทที่ ๔๔ ว่า แรกเริ่มเดิมที ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)พวกสันติอโศก และพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นม็อบ “ก่อกวนเมือง” ให้ปั่นป่วนทั้งประเทศ ?

แต่วันนี้ ความเลวร้ายได้ปรากฏขึ้นแก่แก่คนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าและพวกเศรษฐีทั้งหลายต่างพากันได้รับ “ชะตากรรม” ตกทุกข์ได้ยาก ร้านค้าต้องปิดตัวเอง โรงงานเลิกกิจการ คนงานถูกลอยแพ เศรษฐกิจของชาติปั่นป่วน เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง คนไทยแตกเป็นสองฝัก-สองฝ่าย มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน ?!

เมื่อบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนผวนผันร้ายกาจรุนแรง แทนที่จะรู้ว่าสาเหตุมันเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง กลับพากันโยนความผิดให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คนเดียว ด้วยการกล่าว ว่าถ้าไม่มีคนชื่อทักษิณ “เหลืออยู่ในโลกนี้” ประเทศไทยจะสงบ ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนพวกเผด็จการจะเหี้ยมโหดไม่รู้จักจบสิ้น แต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว !

ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ย่อมจะตระหนักแก่ใจว่า “คนที่ทำให้มันเป็นไปแล้วได้แก่พวกสันติอโศก – พันธมิตรฯพรรคประชาธิปัตย์ และ คมช.” ทั้งนี้เนื่องจากทุกท่านได้เห็นด้วยตา ได้สัมผัสด้วยตนเอง นับเป็นเวลาเกือบ ๖ ปีติดต่อกัน ผมจึงขอเสนอบันทึกย้อนหลังกลับไปในปีที่ผ่านมาว่า :

ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ! พวกพันธมิตร ที่เล่นเอาเถิดกับมาตรการโหดกับประเทศของตนเอง พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัว ตรงกันข้ามมีแต่ความก้าวร้าว เหิมเกริม หนักข้อยิ่งขึ้น สิ่งที่พวกพันธมิตรฯกระทำหนักข้อที่สุดในขณะนั้น ได้แก่การยึดครองถนนมัฆวาน ไม่ยอมเปิดถนนให้เสด็จในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พันธมิตรระดมพลจัดตั้งกองกำลังไม่แตกต่างจากกองโจรก่อการร้าย “การแต่งตัวของกองกำลังน่าเกลียดและน่ากลัวมาก” !

นอกจากพันธมิตรจะยึดครองทำเนียบรัฐบาล ยังได้นำกำลังไปยึดสนามบินดอนเมืองและได้บุกไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับได้ประกาศปิดสนามบินนานาชาติของตัวเอง กระทำกับสมบัติของชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นกองโจรต่างชาติ ที่ได้ชัยชนะในประเทศไทย พวกเขากระทำไม่แตกต่างจากคนขายชาติ นักท่องเที่ยวบินกลับประเทศไม่ได้นับแสนคน พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งอันไม่ควรทำ ชาติย่อยยับต่อหน้าก็กล้าทำ ?!

ผมขอเล่าสั้น ๆ “เมื่อพวกเขาได้รับไฟเขียวจากทหารว่าจะไม่ขัดขวางม็อบไม่ว่ากรณีใด ๆ พวกพันธมิตรได้แสดงอาการดื้อรั้นมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” พันธมิตรแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจพิเศษด้วยการจัดการกับตำรวจราชาเทวะอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตำรวจแทนที่จะเป็นฝ่ายปราบปรามม็อบพันธมิตร แต่กลับตกเป็นเหยื่อของม็อบพันธมิตร “ถูกจับถอดเครื่องแบบ” แถมถูกทุบตีอีกต่างหาก บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก ตำรวจนับพันนายไม่อาจบังคับให้พันธมิตรสลายการชุมนุมได้ ทำให้ภาพของพันธมิตรในเวลานั้นกลายเป็นองค์กรการเมือง “ใต้ดิน” ที่กำลังทำหน้าที่ปกครองประเทศแข่งกับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๖

พันธมิตรประกาศออกมาว่าในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เข้าเฝ้าในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ! ใครไม่เชื่อว่าคำประกาศของพันธมิตรจะเป็นจริงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากตามจารีตประเพณีของสังคมไทยนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะบุคคลที่กำลังเป็นรัฐบาล รวมทั้งฝ่ายค้าน ตลอดทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะพากันไป “ถวายพระพร”ในวันเฉลิมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งในช่วงนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง มีหรือจะไม่ได้เข้าเฝ้า ?

ทว่า...ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลได้พิพากษาให้ยุบพรรคการเมือง ๓ พรรค เป็นผลให้พรรคพลังประชาชน (๑ ใน ๓) ถูกยุบ ! นายสมชาย วงศ์ในโอกาสเดียวกันนั้น พันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศสลายม็อบในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ !

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สังคมไทยจึงพากันถึง “บางอ้อ” ว่าคำพูดของพันธมิตรที่บอกใบ้เอาไว้นั้น ที่แท้เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพลังประชาชน แสดงว่าพันธมิตรคือเจ้าของอำนาจพิเศษที่ได้มาจากอะไรบางอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นพันธมิตรจะไม่ “แม่น” ขนาดนี้ เมื่อพันธมิตรฯประกาศสลายม็อบ พรรคพลังประชาชนสิ้นสภาพตาม ทำให้เกิดพรรค “เพื่อไทย” ขึ้นมารองรับภารกิจ ก็ได้เกิด “งูเห่าภาค ๒” โดยการกระทำของนายเนวิน ชิดชอบ นำพานักการเมืองในอ้อมกอดจำนวน ๓๒ คนแห่ไป “ซบอก” พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ อันเป็นการ “หักดิบ” ทางการเมืองที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

พวกงูเห่าได้รวมตัวกันตั้งพรรคภูมิใจไทย ใส่เสื้อสีน้ำเงินนายเนวิน ชิดชอบ ได้ชื่อว่าเป็นคน “อกตัญญู” เนรคุณพรรค เพราะเขาประกาศว่าเขา
พร้อมที่จะต่อสู้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อการปกป้องสถาบันให้มั่นคง ว่าแล้วก็ร้องให้ในจอทีวี รำพันถึงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนได้ชมทั้งแผ่นดิน

การหักหลังพรรคการเมืองในครั้งนี้ นายเนวิน ชิดชอบ มีอำนาจเต็ม กุมบังเหียนพรรค นับแต่บัดนั้น ประดาผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างพากัน“กร่าง” แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และข่มเหงรังแก “คนเสื้อแดง” หนักหน่วงยิ่งขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางปรองดองกันได้เลย ประเทศไทยทั้งประเทศจมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในทางความคิด ความเชื่อ และความไม่ลงรอย โดยมีพวกเผด็จการ-อำมาตย์ใหญ่ และพวกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย ได้ทำตัวเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าของความ “จงรักภักดี” และเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ แต่ฝ่ายเดียว คล้ายกับว่าคนเสื้อแดง “มิใช่คนไทย” ทั้งๆที่อยู่ร่วมแผ่นดินสยามผืนเดียวกัน

น่าแปลกที่สุด ได้แก่คนที่ชั่วช้าที่สุด กลับไม่มีความเสียหาย ได้แก่“นายสนธิ ลิ้มทองกุล” และพวกแกนนำพันธมิตรทั้งหลาย รวมถึง “สันติอโศกโพธิรักษ์” พลตรี จำลอง ศรีเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ! เป็นต้น คนที่ถูกตีไข่ใส่ความว่าได้ทำให้ชาติเสียหายได้แก่ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” และคนเสื้อแดง ตลอดทั้งนักการเมืองซีกฝ่ายค้าน หรืออดีตนักการเมืองที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี นับเป็นร้อยคนขึ้น ตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ

ผมรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงมีคนใช้อำนาจเผด็จการควบคุมนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม โดยอ้าง “ความจงรักภักดี” เอาขึ้นมาเป็นเครื่องมือ แล้วเล่นงานคนในชาติว่ากำลังจะล้มล้างระบอบการปกครอง ผมรู้สึกสงสัยอย่างมากที่สุด ที่ชนชั้นผู้ปกครอง ได้ยกเอาประชาชน (พสกนิกร) ขึ้นมาเป็นศัตรูของกับพระเจ้าแผ่นดิน การกระทำเช่นนี้ มีเลศนัยน่าระทึกยิ่งนัก ?!

เลศนับที่น่าสงสัยมากได้แก่การแต่งตั้ง “แกนนำ” ของพันธมิตร คือนายกษิต ภิรมย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมา แม้จะถูกข้อหาว่าเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่มีการให้ออก รัฐบาลยังคง “อุ้ม” นายกษิต ภิรมย์ อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ ยังมีการประสานเสียงไปทั่วแผ่นดินจากบุคคลสำคัญของประเทศ กล่าวหาคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อกล่าวหามีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนกรานตลอดเวลาว่าไม่มีความจงรักภักดี เป็นฝ่ายตรงข้ามกับองค์พระมหากษัตริย์

คนที่กล่าวชัดถ้อยชัดคำที่สุด คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวหากลางสภาผู้แทนราษฎร มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีข้อกล่าวหาจาก “องคมนตรี” อีกหลายคน ตามด้วยท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร ที่ออกมาร่ำให้ในจอ ทีวี ช่องหอยม่วง อันเป็นการ “ตอกย้ำ” เข็มหมุดให้ฝังลึกลงไปว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับคนเสื้อแดง คือกลุ่มบุคคลที่กำลังจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

ย้อนกลับไปที่พันธมิตร ปรากฏว่าได้เกิดการ “ลอบสังหาร” [Assassination] นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ช่างประหลาดยิ่งนัก กระสุนไม่อาจปลิดชีพเขาได้ คดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าระทึกใจ อยากรู้จังเลยว่าใครหนอเป็นคนลงมือสังหารคนชั่วคนนี้ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ก็มีคนทำจนได้ ประเทศไทยในช่วงพรรคประชาธิปัตย์ได้อำนาจรัฐ ผมเชื่อว่าเป็นช่วงที่พวกเผด็จการกำลังหาทาง “จัดตั้ง” ฐานอำนาจถาวร เพื่อจะเกาะกุมอำนาจรัฐเอาไว้ไม่ให้หลุดไปจากมืออีก เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องต่อการแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการตรวจแห่งชาติ” คนใหม่ ที่จะมาแทน “ภัทรวาท” !

ผมเดาตามประสาของผมว่า ตำรวจใหญ่คนหนึ่ง กับนายตำรวจใหญ่อีกคนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ “พรรคประชาธิปัตย์” ให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นการกระทำเพื่อจะบ่อนทำลาย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ให้มีความสง่างามและไม่ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เรียกว่าพวกเดียวกันกำลังทำลายพวกเดียวกัน อันหมายถึง “นายกรัฐมนตรี” ในดวงใจของพวกเผด็จการในวันข้างหน้า ไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลงเหลืออยู่ต่อไป

การขับเคี่ยวจึงวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ผมเดาว่า “ประเด็น” ทำลายนายอภิสิทธิ์ เป็นประเด็นหลัก แต่จะทำลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวการที่หนุนหลังกันอยู่ว่า ใครจะแน่กว่าใคร ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ การวางตัวจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เหมาะหรือไม่เหมาะ จึงเป็นหมากการเมืองที่มีมือ “ลึกลับ” ยื่นออกมาขยับจับเปลี่ยน ถ้าจับเปลี่ยนดีๆไม่ได้ ก็ได้ใช้วิธีการยึดอำนาจ การปกครองด้วยวิธีการป่าเถื่อนตามรูปแบบตามกลยุทธ์ที่พวกเผด็จการได้วางเป้าหมายเอาไว้ เรื่องดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างครั้งหลังสุดคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ความเลวร้ายที่เกิดกับประเทศไทย ได้หยั่งรากลงนับแต่วัน คมช. ยึดอำนาจ หลังจากนั้น พวก คมช. ได้แสวงหารูปแบบที่จะทำให้ “อำนาจเผด็จการ” สามารถดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น พวก คมช. จึงได้สร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา (๒๕๕๐) โดยมีพวกลูกมือวิ่งหน้าเริดเข้าซุกปีก คมช. อันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นสมุนตัวเอ้ คอยรับลูกทั้งในทางกฎหมายและ “นอกกฎหมาย” ได้แก่การแสดงท่าทีเอาใจใส่แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากกรณี “นปช.” เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับเรื่องเดียว เงียบยังกะคลื่นกระทบฝั่งปฏิบัติการเช่นนี้เข้าข่ายหาทางทำนอกกฎหมายให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง

วิธีการทำงานเพื่อให้เกิดเป็นคลื่นกระทบฝั่ง และสุดท้ายได้ปลุกกระแสเป็นครั้งเป็นคราวจนสามารถกำหนดยุทธ์ศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน แม้แต่เรื่อง “ลูกหมีแพนด้า” ตัวเท่ากับลูกหมูก็สามารถนำเอามาใช้เป็นเครื่องมือกลบกระแสได้เป็นอย่างดี แต่ความเจ็บปวดของประชาชนนับวันแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ประธานกลุ่มของคนเสื้อแดง “นายวีระ มุสิกพงศ์” ในนามของ นปช. หรือมีชื่อเต็มว่า “แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ได้แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเผด็จการได้ใช้วิธีการอันแยบยลเพื่อจะกลบเกลื่อนการกระทำอันชั่วร้ายของตนเองอย่างไรบ้าง นายวีระ มุสิกพงศ์ได้ใช้รายการ “ความจริงวันนี้” ส่งภาพสนทนาระหว่าง ๓ เกลอหัวขวด ฉีกหน้ากากอันโสมมของพวกเผด็จการ ก็ไม่อาจทำให้พวกเผด็จการเกิดความอับอายขึ้นมาได้

อีกมุมหนึ่ง “นายอดิศร เพียงเกษ” ! นักการเมืองขวัญใจคนรากหญ้าแห่งที่ราบสูง ผู้มี “ต้นทุน” การต่อสู้กับเผด็จการถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้ว ได้แสดงตนในการนำอย่างองอาจกล้าหาญ ได้กล่าวคำปราศรัยฉีกหน้ากากนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ได้ทำให้เผด็จการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย กล่าวให้ชัด “เผด็จการก็ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย” !

วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ จึงเกิดวันสงกรานต์เลือด ! ดังจะได้เห็นภาพทหารจำนวนมาก ในมือถือปืนเอ็ม ๑๖ หันปลายกระบอกปืนใส่ประชาชน ทั้งยิงขึ้นฟ้า และยิงเข้าใส่ประชาชน

ใช่...! ประชาชนตายไม่มาก แต่ก็มีคนล้มตาย และมีคนสูญหาย ! มีการ “ขนศพ” เอาขึ้นรถแล้วขับบึ่งเอาศพไปเผาที่ไหน ไม่แน่ชัด มีแต่ข่าวลือว่าเผาในค่ายทหาร และเผาที่วัดสำคัญวัดหนึ่งใน กทม. พระภิกษุองค์หนึ่ง ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง ในมือของท่านจะมีไม้เท้าและสะพายถุงย่าม จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาว่าพระภิกษุองค์นี้ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคนเสื้อแดง ทว่าหลังจากวันเกิดเหตุสงกรานต์เลือด ท่านอยู่แถวหน้า ร่วมสู้กับคนเสื้อแดง แล้วก็หายไปอย่างไม่มีร่องรอย เหตุเกิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เหลือแต่จีวรถูกถอดทิ้งอยู่บนถนนพร้อมกับบาตร

เหตุการณ์ในวันสงกรานต์เลือด เป็นการล้อมปราบประชาชนคนไทยในชาติเดียวกัน ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดมาจากชนชั้นผู้ปกครองเป็นผู้ก่อขึ้น โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่การรับผิดชอบนั้นไม่แตกต่างจาก “สงครามตัวแทน” ทั้งนี้เนื่องจากเราเชื่อว่า มีมือเผด็จการ “คอยบงการ” อยู่เบื้องหลัง มือดังกล่าวนั้น ยังไม่ยอมปล่อยวางจนกระทั่งบัดนี้

เห็นได้ชัดจากการยื่นหนังสือถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! ที่มีมวลมหาประชาชนมากกว่า ๕ ล้านคน ส่งรายชื่อขอร่วมถวายฎีกา แม้จะคัดออกจำนวนมากก็ยังเหลือรายชื่อที่ถูกต้องอยู่มากกว่า ๓ ล้านคน ทันทีที่มีการถวายฎีกา ณ ท้องสนามหลวง พวกเผด็จการ “ออกมาต่อต้าน” ระงมไปทั่วประเทศ

ข่าวการถวายฎีกาถึงวันนี้ (๔ กันยายน ๒๕๕๒) ! ไม่มีวี่แววแม้แต่นิดว่าหนังสือถวายฎีกาจะได้รับการวินิจฉัยจากรัฐบาลว่าจะส่งกลับไปยังสำนักราชเลขาหรือว่าจะกักเอาไว้ ประเทศไทยนี้หนอ เหตุไรจึงเลวร้ายถึงเพียงนี้ ?!

ผมย้อนมองกลับไปยังการกระทำของพันธมิตร - สันติอโศก และพวกเผด็จการทั้งหลาย ผมพบกับการกระทำที่เลวร้ายมากมายหลายเรื่อง ขอนำเอาเรื่องที่เข้าใจง่ายมาเล่าว่าพวกเขาใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ต. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา นับถึงวันนี้รวมแล้ว ๖ ปีกว่า !

แรกเริ่ม ประมาณ ๒-๓ ปีดูไม่ค่อยจะรุนแรง แต่นานวันเข้าก็ยกระดับขึ้นมากล่าวร้ายทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และยังตีพิมพ์ในสื่ออีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ “เดินสาย” เล่นงานที่สวนลุมพินี และไปถล่มหนักที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี มีการตั้งม็อบเอามาด่า ขับไล่ ท๊ากสิน ออกไป –ท๊ากสิน ออกไป ! สื่อกระแสหลักของประเทศไทย คือหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ วิทยุ โทรทัศน์ พากันเสนอข่าว ขายดิบ ขายดี ไม่มีใครเฉลียวใจแม้แต่นิดว่าสื่อกระแสหลัก ได้เข้าร่วมกับพวกเผด็จการก่อความปั่นป่วนให้แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม ?!

ยิ่งสื่อกระแสหลักช่วยเสนอข่าวมากมายเพียงไร พวกม็อบเผด็จการยิ่งได้ใจมากมายเพียงนั้น มีคนอ้างตัวเป็นพระ แต่แท้ที่จริงพวกเขาคือเดียรถีย์ หุ่งห่มคล้ายพระ อ้างตัวเป็นศิษย์ของสำนัก “สันติอโศก” ยกกองทัพธรรม ปักกลด เล่นงานรัฐบาลด้วยข้อหาที่ใส่ร้ายป้ายสีล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกใจมากว่าทำไมนะ คนเสื้อเหลือง ทั้งที่เป็นไฮโซ และพวกนักวิชาการ กลับพากันเข้าข้าง “เดียรถีย์” เหล่านั้นอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

พวกม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นประหนึ่งกองบัญชาการใหญ่สั่ง “ยึดอำนาจรัฐ” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ! ทำเนียบรัฐบาลได้กลายเป็นดินแดนโสมม มีการ “สมสู่” คล้ายโรงแรมม่านรูด มีการแลกเปลี่ยนคู่ขากันอย่างสนุกสนาน ข่าวว่านักรบศรีวิชัยได้ “ข่มขืน” แม้กระทั่งหญิงแก่อายุ ๖๕ หรือว่าประดาสาวแก่แม่หม้าย หรือแม้กระทั่งคนที่ยังมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ยังพากัน “สำส่อน” โจ๋งครึ่ม ถุงอนามัยเต็มถังขยะ !


ผมไม่แน่ใจว่า “โพธิรักษ์” มีสาวิกาคอยปรนนิบัติหรือไม่ ?!

ที่ทำเนียบรัฐบาล : สาวเอ๊าะเอ๊าะ พากันตั้งท้องหลายคน! นอกจากนี้ยัง มีการซ้อมรบ คล้ายกองกำลังโจรก่อการร้าย ประเทศไทยในยามนั้นไม่แตกต่างจากบ้านเถื่อนเมืองเถื่อน หลังจากพวกม็อบได้ถอนตัวออก จึงได้รู้ว่าม็อบผีบ้าผีบุญทำปูยี่ปูยำกับทำเนียบรัฐบาลถึงขั้น “อึ” ใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำลายข้าวของกระจุยกระจายไม่แตกต่างจากโจรป่าบุกเข้าปล้น บ้านเรือน ปล้นแล้วขี้ใส่ก่อนอำลา พร้อมกับกวดเอาทรัพย์สินไปจนเกลี้ยง ?!

ต่อมาได้ทราบว่าเครื่องมือเก็บรักษาความลับได้ถูกรื้อค้นและทำลายป่นปี้ ข้อมูลพวกค้ายาบ้า ยาอี ยาไอช์ หายเรียบ ข้อมูลเจ้ามือหวยใต้ดิน ซุ้มมือปืน ไม่มีเหลือ ข้อมูลบ่อนเถื่อนทั่วประเทศ ตลอดทั้งข้อมูล นักเลง อันธพาล ถูกทำลายเละ ?! ทั้งนี้ยังไม่รวมข้อมูล “ความมั่นคง” การค้าขายระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณกาล ได้ถูกฉีกขาด และฉกเอาไปจากห้องเก็บเอกสารชิ้นสำคัญของแผ่นดิน

ความเลวของพันธมิตร สาหัสสากรรจ์ ที่มีมือ “ลี้ลับ” เป็นผู้บงการให้กระทำปูยี่ปูยำแก่ประเทศอันไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุไร จึงโกรธแค้นชิงชังถึงขั้นจ้องทำลายความมั่นคงของประเทศไทยทั้งประเทศ ? โดยไม่มี ทหารและตำรวจ กล้าแสดงตนออกมาขัดขวาง

วันนี้ เศรษฐกิจของชาติฟุบจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ต่างชาติขาดความไว้วางใจ ยากที่จะมีความกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถึงจะมีต่างชาติบางคนมีความกล้า ก็จะมีแต่ในกลุ่ม “พวกมาเฟีย” ด้วยกัน ที่ถือว่าที่ไหนมีสงคราม ที่นั่นย่อมจะมีบ่อน้ำมันให้เอื้อมมือตัก สิ่งหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือลูกค้าโรงแรมหายไป กิจการท่องเที่ยวพังกราวรูด โรงงานผลิตสินค้า “ส่งออก” ประสบชะตากรรม อันเนื่องมาแต่ไม่มีใบสั่งซื้อ ทำให้รายได้ของประเทศจมหายไปกับความวิบัติมากกว่า ๑ ล้าน-ล้านบาท จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน กู้เงิน ๔ แสนล้าน บวกอีก ๔ แสนล้าน รวมเป็น ๘ แสนล้านบาท !

เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ออกพันธบัตร ขอกู้เงินพ่อแม่ผู้อยู่ในวัยสูงอายุ ได้เงินไป ๕ หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้ประชาธิปัตย์มีเงินเอาไปวิ่งแจกคนมีเงินเดือน คนละ ๒,๐๐๐ บาท และอื่น ๆ

สรุปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเอาประเทศเป็นสนามแก่งแย่งเกมอำนาจโดยมิได้สนใจว่าประเทศชาติจะแตกเป็นกี่เสี่ยงต่อกี่เสี่ยง ?!
จบบทที่ ๔๔ / สอาด จันทร์ดี