วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 43 บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง

อน : บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง ?!

ผมกะว่าใบปลิวกู้ชาติ จะจบลงในบทที่ ๔๕ ข้างหน้านี้และครับ
แต่เรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่อยู่ในอุ้งมือของเผด็จการ มันจบยาก ?!

รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม “จึงจบยาก” ตามไปด้วย ดังนั้น ในเวอร์ชั่นใหม่ [Next Version] มันจะมีทั้งของเก่า ของใหม่ และความจำเจซ้ำซากดักดานปะปนอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คือ “ตัวละคร” ที่ออกมาโลดแล่นในในฐานะ “สงครามตัวแทน” เพื่อจะทำหน้าที่ “คุมทัพ”ในสนามรบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เรียกว่าจะมีตัวละครยาวเหยียดเบียดเสียดกันกระโดดลงมาคลุกในสนามการต่อสู้ นัวเนียไปจนหมด

ท่านผู้อ่านที่อยู่ในประเทศหรือไกลออกไป จะมีโอกาสได้เห็นสถานการณ์ของประเทศไทย ในวันข้างหน้า ในสภาพ “ถ้ำจำศีล” ของพวกอำนาจมืดอย่างยาวนาน ยากที่จะแก้ไขให้ประเทศไทยได้เปิดแผ่นดินไปสู่ความศิวิไลซ์ และยากที่จะทำความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของ “ขุนนางและอำมาตย์” ผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจในการนั่งอยู่บนกองผลประโยชน์ เป็นหัวใจที่คลอดมาจาก “อนุรักษ์นิยม” ที่มีแต่มีความเป็นอยู่โดดเด่นและสูงส่งราวหอคอยงาช้างปานนั้น

วันนี้ ผมขึ้นบทที่ ๔๓ ของใบปลิวกู้ชาติ ที่ยังคงเกาะติดดับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีปัญหาขัดข้องไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเกิดเป็นวันขึ้นมา จะหาโอกาสไปวัดด้วยหัวใจที่สงบเยือกเย็น แทบไม่ได้เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอดีต ที่พ่อแม่จะพากันหยุดพักการทำงานในวันพระ แล้วพาลูก ๆ และหลานเหลนไปวัด โดยมีความสดชื่นซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แต่วันนี้ หัวอกมันรุ่มร้อน ระบมไปทั้งร่างกาย

ปัญหาของประเทศไทยจึงเป็นปัญหาที่ระทดระทวย อันจะนำพาประเทศให้จมลึกลงไปสู่ก้นเหวของอบายภูมิ ซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหลายจะตกเป็นเหยื่อของนรก ขุมเล็กขุมน้อย สุดที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาได้ เรื่องของเรื่องเกิดมาจากอะไร ?

คำตอบของเรื่องนี้ ผมสามารถที่จะตอบให้ “โป๊ะเชะ” ได้เลย แต่ถ้าตอบแบบนั้น จะทำให้ “ตัวต้นเหตุ” ยอมรับหรือว่ายิ่งจะเกรี้ยวโกรธโกรธาขึ้นมา

ผมไม่อยากให้ตัวต้นเหตุได้รับความอับอายขายหน้า ไม่อยากให้ท่านโกรธ ผมจึงหาทางเลี่ยงด้วยการนะเสนอแบบ “บอกใบ้” ขอรับ เพราะว่าการ “บอกใบ้” จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้มิใช่น้อย ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๓ จะช่วยแคะผงออกจากตาของประดาตัวเบิ้มในประเทศไทยได้

ขอเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ไม่ต้องแปลว่า “คนไทยตัวเบิ้มๆคือตัวต้นเหตุของปัญหา” และคนไทย “ตัวเบิ้ม” เหล่านั้นมีอยู่ไม่เกิน ๗ คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวการที่แท้จริง ที่มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และรับผิดชอบต่อ “ความมั่นคง” ของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเบิ้มๆที่ว่านี้ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมมนูญก็มี ไม่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญก็มี เรื่องมีอยู่ว่าตัวเบิ้มทั้ง ๗ พากันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ ซึ้งแก่ใจว่ากลุ่มไหนมีอุดมกาณ์อย่างไร เรียกว่าไก่เห็นตีนงู-งูเห็นตีนไก่ กล่าวให้ชัดหมายถึงตัวเบิ้ม“พวกหนึ่ง”มีความจงรักภักดีจากหัวใจที่แท้จริง อีกกลุ่มหนึ่ง “ไม่มีความจงรักภักดี” อยู่ในหัวใจเลย

กลุ่มที่ไม่มีความจงรักภักดีมีความ “เกลียดชัง” ระบอบการปกครองแบบมีกษัตริย์เป็นองค์ประมุข มีอยู่ไม่เกิน ๓ หรือ ๔ คน ! แต่ด้วยเหตุว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสถาบันโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นอยู่ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาล จึงไม่อาจที่จะแสดงตนเป็นศัตรูต่อสถาบันได้

อีกอย่างหนึ่งคนกลุ่มนี้ ตระหนักดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีความมั่นคง แข็งแกร่ง “อันเนื่องแต่ประชาชนยึดมั่นในระบอบกษัตริย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง” ไม่มีวี่แววปรากฏให้เห็นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะสั่นคลอนโดยง่าย เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะกระทำสิ่งใดให้เป็นภัยแต่ตนเอง คนกลุ่มนี้จึงเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิด

แต่ก็พากันคิดชั่ว มีความพยายามที่จะหาทาง “บ่อนทำลาย” ในหลายรูปแบบ ซึ่งได้พากัน กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งหลายหน

คนกลุ่มนี้ เป็นตัวเบิ้มคนสำคัญในระบอบการปกครอง

รูปแบบหลักๆที่ทำมาก่อนได้แก่การปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย ข่าวลือที่ปล่อยออกมาได้สร้างความงุนงงสงสัยแก่ประชาชนยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจาก ศูนย์ข่าวและข้อมูลประหนึ่งฟ้ามาดิน ไม่มีทางที่จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือกระทำอะไรในทำนองรู้ดี รู้ไปหมดทุกอย่างได้ จึงอ่านได้เลยว่ามีแต่ “คนใกล้ชิด” เท่านั้น ที่สามารถดำเนินการปล่อยข่าวลือ ได้อย่างทรงอานุภาพยิ่ง

ต่อมา มีอีกกลุ่มหนึ่ง (๒ หรือ ๓ คน) ! เป็นกลุ่มที่มีความ “จงรักภักดี” ด้วยหัวใจอย่างยิ่งยวด แต่มีความอิจฉาริษยา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณชินวัตร ที่กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ ที่มีแสงสกาวสดใส มีแนวโน้มชัดจนว่าจะได้รับความรักจากประชาชนอย่างท่วมท้นทั้งแผ่นดิน คนกลุ่มนี้ได้ทำบาปอันโฉดชั่วด้วยการหาเรื่อง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำการ “ลอบสังหาร” [Assassination] แต่กระทำไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ได้ใช้กองกำลังทหารยึดอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ !

คนตัวเบิ้มของประเทศไทยรวมแล้วไม่เกิน ๗ คน จึงเป็น “ตัวการใหญ่” ที่เป็นตัว “ต้นเหตุ” ก่อปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และในจำนวนตัวเบิ้มทั้ง ๗ คนดังกล่าว แต่ละคนจะมีเครือข่ายเป็นสายสัมพันธุ์โยงใยยาวเหยียดนับเป็นร้อยเป็นพัน ทำให้กลุ่มของคนพวกนี้มีอำนาจอิทธิพลในพระราชอาณาจักรอย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล

มาถึงวันนี้ กลุ่มที่ไม่จงรักภักดี เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงแผลงฤทธิ์กระโดดลงสู่สนามรบด้วยการตั้งกองกำลังทำ “สงครามตัวแทน” ร่วมรบกับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีที่กำลังไล่บี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นการ “ประสานมือ” ใช้ทักษิณ เป็นเป้าล่อ

ขณะที่กำลังล่อกันนัวเนีย ก็ได้เร่งให้ประชาชนเกิดความเกลีดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ทว่าถึงแม้จะเร่งสุดเหยียดเพียงไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชน (คนเสื้อแดง) เกลียดชังทักษิณได้
ตรงข้าม ประชาชนยิ่งเพิ่มความรัก ความเห็นใจ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรมากขึ้น


ถึงเวลานี้ กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสงครามตัวแทน ต่างออกมาใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการ “กรีดน้ำตา” ระบายความคับแค้นใจบ้าง หรือไม่ก็พากันจัดงาน “สมานสามัคคี” บ้าง แต่ไม่ว่าจะจัดงานหรือจะทำอะไรก็ตาม สุดท้ายได้สรุปลงด้วยการ “ด่ากราด” คนเสื้อแดง หาว่าไปลุ่มหลงคารมของคนที่ไม่มีค่าเทียบเท่าองค์พระมหากษัตริย์ ในที่สุดได้กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิวนิสต์ !

ท่านผู้อ่านใบหลิวกู้ชาติทุกท่าน ผมกับคุณผึ้ง ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น นำเอาความจริงมาบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับได้เสนอแนะ “แนวทางแก้ไข” ให้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ เลยว่า จะมีใครสนใจ โดยเฉพาะได้แก่พวกอำมาตย์เอาหูทวนลม

ยิ่งตอนนี้ เป็นช่วงของคนเสื้อแดงที่แตกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันหลายล้านคน ยื่นหนังสือถวายฎีกา แต่ก็ได้มีอีกกลุ่มไม่เห็นด้วย ทำให้ได้พบเห็น “ความแตกต่าง” และ ความเหมือนในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เหมือนก็คือ ได้มีการส่งเสียงสนับสนุนมากมายแก่คนทั้งสองกลุ่ม

แต่ก็แยกความแตกต่างออกได้ชัดเจนว่า มีผู้คนที่ต่างประเทศส่งเสียงนินทาสถาบันเบื้องสูงแบบไม่หวั่นเกรงว่าจะมีภัย เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศไทย คนกลุ่มที่บังอาจตำหนิและนินทาเบื้องสูง ทำงานเข้าทางปืนของคนตัวเบิ้มจำนวน ๗ คน อย่างจัง ทำให้มีข้ออ้างได้ต่อไปว่าประเทศไทยมีคน “ไม่ประสงค์ดี” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นความชอบธรรมของพวกเขาที่จะปราบปรามคนกลุ่มนี้อย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป

ดังที่ผมกล่าวมา นับว่าเป็นการ “หักเห” ทิศทางได้อย่างแยบยลอย่างยิ่ง
แยบยลอย่างไร ? นี้เป็นคำถามที่สำคัญยิ่งนักที่จะต้องทำความเข้าใจต่อปัญหา นั้นก็คือ แรกเริ่มเดิมที ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาความผิดพลาดในระดับนักการเมือง โดยมีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต คดในข้อในกระดูก กระทำการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย และกล่าวหาขายหุ้นให้แก่ต่างชาติ หาว่าไม่เสียภาษี ซึ่งเป็น “ความผิด” ใน ระดับพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล
ถ้าความขัดแย้งยืนอยู่ในระดับนี้ ก็จะแก้ได้โดยไม่ยาก

วิธีการแก้ก็คือ มีการแข่งขันทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ พรรคนั้นเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคไหนพ่ายแพ้ก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

แต่ปัญหาของประเทศไทยแก้ยากอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากพวกขุนนางพากันบิดประเทศให้บูดเบี้ยวด้วยการ“ยกระดับ" ปัญหาจากระดับการเมืองธรรมดา เอาประชาชนไปขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการยกระดับที่แยบยลอย่างร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง !

นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ได้มีข่าวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีพวกตัวเบิ้ม ๗ คนพวกนั้น ทั้งผลัก ทั้งดันให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตุ๊กตาตัวเอ้ ยืนตระหง่านเป็น “ขุนทัพ” เดินนำหน้าประชาชนให้ชนกับเจ้า แม้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสียงปฎิเสธเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังส่งข้อความผ่านเว็ป Twitter @ Thaksinlive เพียงไรก็ไม่เป็นผล

เกิดเป็นวันขึ้นมา จะได้ยินถ้อยคำ ๒ – ๓ ประโยค ที่ดังออกมาจากปากของตัวเบี้ม ๗ คน กล่าวคือ
(๑) ให้ทักษิณ หยุดโฟนอินเสียที
(๒) ให้ทักษิณประกาศวางมือเสียเถิด
(๓) ทักษิณ อย่าหนีให้กลับมาติดเสียโดยดี
(๔) ต้องปราบทักษิณ พิษภัยร้ายกาจของสถาบันให้เสร็จสิ้น บ้านเมืองจึงจะปลอดภัย

ท่านผู้อ่านที่รักครับ ผมเขียนมาถึงจุดนี้ ก็พอจะอ่านออกแล้วใช่ไหมว่า “ตัวเบิ้ม ๗ คน” ที่ผมได้บอกใบ้แก่ท่านไปแล้ว ท่านจะอ่านออกว่าเป็นใครบ้าง ปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียง ๒ ประเด็นที่ท่านอยากรู้

อยากรู้ว่า “ใคร...คนไหน” เป็นผู้จงรักภักดีแท้
และใคร (คนไหน) คือไอ้ตัวการที่ไม่จงรักภักดี

ท่านอ่านเข้าไปในมุ้งมหาอำมาตย์ กวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วจะเห็นพวก ๗ คนโดยไม่ยาก บางคนหน้าตาเป็นคนหนุ่ม บางคนแก่งั่ก บางคนมีอำนาจราชศักดิ์ มีสายสะพายเต็มบ่า มากไปด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง มีปาราชิก โพธิรักษ์คอยเป็นพระสังฆราชในดวงใจอีกด้วย
บอกใบ้ขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วใช่ไหครับว่าคน ๗ คน ดังที่ว่าคือใครบ้าง ?!

จบบทที่ ๔๓ / สอาด จันทร์ดี

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 42 วสิษฐ์ ชี้ 2 พระองค์กำลังถูกทุกลาย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำไห้

บทที่ ๔๒ ตอน : วสิษฐ์ชี้ ๒ พระองค์กำลังถูกทำลาย ..?! “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้”

ผมอ่านพาดหัวข่าว ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้ ขอร้องคนไทย อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้ง ให้ความชื่นใจ “ในหลวง-ราชินี” บ้าง ซึ่งเป็น พาดหัวข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับที่ ๑๑๔๙๑ ประจำ วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

หมายเหตุ การเขียน “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒” ในวันนี้ จะแบ่งเป็น ๒ ภาค เพื่อจะได้นำเอาความกระจ่างมาแสดงให้ครบ และให้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยเนื้อหาของข่าว :

ผมขอเรียนว่า ผมอ่านข่าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย-สับสน ต่อกระบวนข่าวที่เกิดขึ้น เพราะว่าตั้งแต่เกิดมา “ไม่เคยมีข่าว” เกี่ยวกับ องค์พระประมุขทรงทุกข์พระทัย อันเนื่องมาแต่ความขัดแย้งของคนในชาติ เลย แต่วันนี้ได้มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ผมไม่อาจ นิ่งอยู่ได้ ผมขออนุญาตนำเอาข่าวนี้ขึ้นมาเขียน ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒ เพื่อจะสื่อไปยังกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้หยุด การกระทำ

ใครบ้างที่เป็นภัยต่อสถาบัน ผมจะนำเอามาเสนอให้จบในบทนี้ ก่อนอื่น ผมขอคัดเอาข่าวหน้า ๑ ไม่มีการตัดต่อ ดังนี้



“สำนักราชเลขาธิการทำเว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระราชินี ท่านผู้หญิงร่ำให้บอกในหลวง – พระราชินีทรงไม่ต้องการ อะไร แต่ทรงอยากเห็นบ้านเมืองอยู่รอด คนไทยสามัคคี อย่าขัดแย้งกัน พล.ต.อ. วสิษฐ์เผย ๒ พระองค์กำลังตกเป็นเป้าถูกโจมตีลบหลู่ของคนบาง พวก ระบุแม้ศัตรูไม่ถืออาวุธแต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลงผิด” จบข่าวหน้า ๑ (มีต่อหน้า ๕)

สำหรับข่าวในหน้า ๕ ผมขอคัดเอาบางท่อนของเนื้อข่าว แต่จะ รักษามิให้เกิดความสับสนเริ่มจากท่อนกลาง ดังนี้

“ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ จนบัดนี้ สมเด็จพระนางเจ้าทรงไม่เคยห่างจากพระองค์เลย อะไรที่เป็น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยตลอดเวลา ในสมัยที่ผมรับราชการ เบื้องพระยุคลบาทเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวกคอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยหยุด ทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าว

อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจกล่าวอีกว่า“ขณะนี้พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยบางคนบางพวกบางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล แต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์ เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าฯ อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่า ผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตย มากกว่า ๗๐๐ ปี กำลังถูกทำลายโดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้อง ตระหนักและช่วยกันคือปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ขึ้นย่อหน้า...
“มาวันนี้ ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยัง ไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่าทำให้พี่น้องลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ และเผยแพร่สอนผู้อื่นให้รู้ว่าเมืองไทยอยู่ได้เพราะ ๓ สิ่งนี้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า ๖๐ ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าวเอาไว้ในท่อนกลาง

จากนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงาน รับใช้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาประมาณ ๔๐ ปีกล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ ไม่ว่าจะทุรกันดารอย่างไร ทั้งสองพระองค์ ทรงเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์จะสอนเสมอว่าให้คุยกับราษฎร อย่างเคารพนบนอบ คิดว่าเขาเป็นพี่น้อง

ผมขออนุญาต “เว้น” ไป ๑ ท่อน
ขอขึ้นท่อนสำคัญว่า “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์กล่าวพร้อมกับร่ำให้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทำทุกอย่าง ให้กับคนไทย ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกัน หรือไม่ ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจาก ประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้ประชาชน”


ภาคที่ ๒ ว่าด้วยบทวิพากย์:

ว่าด้วยการร่ำให้ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ดังที่เป็นข่าว ว่าเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนชาวไทยพากัน “ร่ำให้” นับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในยามสมเด็จย่าทรงจากไป สมเด็จพระพี่นางก็จากไปด้วย และ ยิ่งในคราวองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร อยู่ในความดูแล ของหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ปรากฏว่าประชาชนน้ำตานองหน้า เฝ้าโรงพยาบาลหนาแน่น ปรากฏเป็นข่าวติดต่อกันทุกวัน

จึงวิพากย์ วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นจริงว่า ภาพของประวัติศาสตร์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างประชาชนกับ พระเจ้าแผ่นดิน แนบแน่นและแสนจะอบอุ่น โดยไม่เคยมีคนไทย “คนไหน” กระทำอันไม่บังควรทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยเฉพาะ คนยากคนจนนั้นพากันกราบไหว้ สักการะพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง คนที่ทำมาค้าขาย จะติดตั้งรูป ร. ๕ เอาไว้ในร้านให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยสมความปรารถนา

ในส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าฯ อันเป็นพระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่างก็เป็นเครื่องหมายของวันแม่ (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒) ดังที่ประชาชนทั้งหลายทราบดี

การที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ร่ำให้ออกมานั้น เป็นเรื่องเดียวกัน กับน้ำตาของประชาชน

สำหรับ “พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร” ที่ได้กล่าวออกมาทั้งหมด ก็ไม่ผิดเลยที่ได้นำเอาความจริงมายืนยันว่าขณะนี้ พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยคนบางพวก บางประเภท

เหตุไรรัฐบาลจึงปล่อยปะละเลย (ด้วยเล่า) ! ผมขอนำข้อเท็จจริงในภาคที่ ๒ ว่าด้วยการวิพากย์ มาเสนอให้ท่าน ทั้งหลายได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา และอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ปัญหานี้เกิดความรุนแรงขึ้นมา จนอาจเป็น เหตุให้เกิดสงครามอันสาหัส ?!

ประเด็นที่ ๑ ไม่ว่าจะอ่านข่าวในรูปไหนและวิธีใด ข่าวที่ปรากฏ ออกมาในครั้งนี้ ได้พุ่งเป้ามาที่ “คนเสื้อแดง” ร้อยเต็มร้อย ทั้งนี้เนื่องจาก การใช้คำพูดว่า “แม้ศัตรูไม่ถืออาวุธ แต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลง ผิด” ย่อมหมายถึงการต่อสู้แบบอหิงสา ไม่ใช้อาวุธ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งมีอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มของ นปช. (แนวร่วมประชาชนต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ) หรือรู้จักกันในนามของคนเสื้อแดง – แดงทั้งแผ่นดิน [Red in the Land]

ประเด็นที่ ๒ พล.ต.อ. วสิษฐ์ และท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ไม่ได้ หมายถึงพวกอำมาตย์ / หรือพวกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพวกพันธมิตร- สันติอโศก และไม่ได้หมายถึงพวกราชชนิกุล-ไฮโซทั้งหลาย เมื่อไม่ได้ หมายถึงใครเลยนอกจากคนเสื้อแดง

จึงเป็นการมุ่งที่จะพูดให้ สังคมไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างกว้างขวางว่า ให้ระวังคนเสื้อแดงเอาไว้ ?!

ผมอ่านข่าวและวิจารณ์ออกมาเช่นนี้ พบตัวเองตกอยู่ในกลุ่ม ของคนเสื้อแดง ย่อมไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ ที่คิดแต่ จะปราบปรามเพื่อจะได้รักษาความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ผมขอกล่าวว่าพวกท่านได้กระทำผิดและดำเนินการผิดพลาด อย่างใหญ่หลวง !
พวกท่านเป็นผู้ก่อปัญหา ทำให้สมเด็จพ่อของเราต้องทรงทุกข์พระทัย ?
ท่านอยากฟังไหมเล่าว่า พวกท่านได้กระทำความผิดอย่างไรบ้าง

ผมขอกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตั้งใจที่จะทำลายทักษิณให้พ้นไปจาก สนามการเมืองในประเทศไทย” ท่านทำได้อยู่แล้วจากคดีทุจริตล้วนๆ ถ้ามีหลักฐานก็เอาเข้าคุกได้

แต่พวกท่านเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมา ด้วยการประกาศในสภา ผู้แทนราษฎรว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทำให้สถานะของข้อขัดแย้งเปลี่ยนจากคดีทางการเมืองขึ้นไปสู่การ แก่งแย่งอำนาจระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับองค์ระมหากษัตริย์ ในกรณีดังกล่าวนี้ แม้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้แต่งตั้ง นายความฟ้องหมิ่นประหมาท “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” แต่ศาลก็ ไม่รับฟ้อง จึงทำให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ มีข้อหาร้ายกาจติดตัว สุดที่จะ สลัดให้หลุดไปได้

พวกอำมาตย์มิได้หยุดอยู่เพียงการกล่าวหาเท่านั้น พวกท่านได้ ขัดขวางการยื่นถวายฎีกาและกล่าวหาการถวายฎีกาว่าเป็นการก้าวล่วง พระราชอำนาจ (ผมถ่ายภาพแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ของรัฐบาล เอาไว้แล้ว) !

การคัดค้านขัดขวางเป็นไปอย่างร้อนแรง มีการระดมให้ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงการให้ข่าวต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ให้หนังสือถวายฎีกาขึ้นไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การกระทำของพวกอำมาตย์เผด็จการ ได้ก่อให้เกิดความแค้นเคืองแก่ราษฎร ทีรักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง คนกลุ่มนั้นคือ “คนเสื้อแดง” แดงทั้งแผ่นดิน

ผมขอเล่าให้ฟังว่า ราษฎรไม่มีใครเลยที่จะแค้นเคืองสมเด็จพ่อ ของเรา เพราะว่าเขาก็รักของเขา เขากราบไหว้อยู่ทุกวัน จะแค้นเคืองได้ อย่างไร
เขาแค้นเคืองพวกคุณต่างหาก ...รู้หรือเปล่า ? สถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ ที่ว่าประเทศไทจะเกิดสงครามสาหัส นั้น ขอให้รู้เอาไว้ซะด้วยว่ามันจะเกิดจาก “ความชั่ว” ของอำมาตย์ชั้นเลว ที่พยายามก่อสงครามทุกวี่ทุกวัน

ถ้าต้องการให้ประเทศไทยสงบลงในพริบตา ย่อมทำได้ ๒ แนวทางคือ
( ๑ ) ! ให้ “สร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติที่เป็น ประชาธิปไตย” กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือไม่ก็... รีบสนับสนุนให้หนังสือถวายฎีกา ให้ได้รับความสำเร็จกลับมาเถิด แล้วความสงบจะเกิดขึ้น
( ๒ ) ! ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ แล้วจะได้พบกับทางออกทีสว่างไสวอยู่เบื้องหน้า ผมขอกล่าวว่า “อย่ามามัวกรีดน้ำตาหลอกชาวบ้านอยู่เลย” ถ้ายังมัวแต่กรีดน้ำตา แถมมีความโกรธในข้อเขียนของผมอย่างรุนแรง ไม่มีการ “วิภาค” ก็ย่อมจะ “วิพากย์” ปัญหาไม่ออก (ผมได้เสนอความเห็นเช่นนี้เอาไว้ในบทที่ ๔๑)

ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กับ พล.ต.อ. วสิษฐ์ จะมีโอกาสได้พบข้อเขียนนี้ไหมหนอ

ท่านผู้ใดอยู่ใกล้ชิด กรุณาโหลดเอาไปให้อ่านด้วยครับ ?!

จบบทที่ ๔๒ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 41 ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ

บทที่ ๔๑ ตอน : ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ?!

กรณีรัฐบาลประกาศ กม. มั่นคงในเขตสุสิต กทม. เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ มีค่าเท่ากับการประกาศกฎอัยการศึกในยามภาวะ สงคราม ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการจงใจขัดขวางคนเสื้อแดงที่จะชุมนุม ใหญ่อีกครั้งใน วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒

ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอมอบบทความเรื่องนี้ ถึง ๙ แห่ง อันประกอบด้วย
(๑) นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
(๒) สภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๓) กระทรวงกลาโหม
(๔) กระทรวงมหาดไทย
(๕) ผู้อำนวยการ กอ. รมน. และสันติบาล
(๖) อำมาตย์ใหญ่ และประดา คณะรัฐมนตรี
(๗) อธิการบดี ๒๖ มหาวิทยาลัย และคณาจารย์ทั้งหลาย
(๘) สนธิ ล้มทองกุล “เทวทัตโพธิรักษ์”พลตรี จำลอง ศรีเมือง !
(๙) สื่อกระแสหลักทั้งหลาย ?!

ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในวงเล็บทั้ง ๙ โปรดระลึกเอาไว้ว่า ถ้าประเทศไทยจะเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมาจนแผ่นดินลุกเป็นไฟก็เพราะ การกระทำอันชั่วช้าของพวกท่าน และหากแม้นว่าพวกท่าน “ไม่ตระหนัก ว่าตัวเองได้กระทำชั่วช้า” แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาที่จะเล่นงานคนเสื้อแดง เพราะเข้าใจว่าคนที่ชั่วช้าคือคนเสื้อแดงทั้งหมดและ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งจะเป็นการตอกลิ่มเข้าไปในหัวใจของ “คนเสื้อแดง” ให้เกิดการแบ่งฝัก แบ่งฝ่ายกันมากขึ้น

ถ้ายังตั้งหน้าตั้งตา “ตอกลิ่ม” ด้วยความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ยิ่งจะเป็น การเร่งวันเร่งคืนให้คนไทยใกล้จะถึงจะถึงจุดระเบิดเข้ามาไปทุกที

บทความชิ้นนี้เขียนมาเตือนพวกท่านในลำดับที่ ๔๑ !

ขอเริ่มว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากการใส่ร้ายป้ายสี “พรรคไทย รักไทย” และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ มาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ยอมเลิก พวกท่านได้ตั้งตัวเป็นโจทย์เล่นงานคู่แข่งทางการเมืองหวังจะ ทำลาย [Destroy] ให้สิ้นซาก ซึ่งตอนแรกก็ได้ใช้ข้อกล่าวหาว่า ได้กระทำทุจริตต่อหน้าที่ หาว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” ข้อกล่าวหามิได้หยุด เพียงแค่นี้ พวกท่านได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อันเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างร้ายแรง มีโทษถึงประหาร

พวกท่านฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา พวกท่านคงจำได้ดีว่าแม้จะกระทำหลายวิธีแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจ ได้รับชัยชนะ จึงอาศัยวิธีการหักดิบ เอาจนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ ได้เป็นรอง นายกรัฐมนตรี และได้ดูแลความมั่นคง !
พวกท่านได้ยกระดับ “ข้อกล่าวหา” ก้าวจากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ขึ้นมาเป็นความไม่จงรักภักดี เป็นการ “ยกระดับ” ข้อกล่าวหาให้เกิดกระแส ข้อขัดแย้ง เปลี่ยนจากกระแสของชาวบ้านขึ้นมาเป็นกระแส “ประชาชน กับพระเจ้าแผ่นดิน” ซึ่งพวกท่านคิดว่าถ้ายกระดับขึ้นมาเช่นนี้ จะทำให้ คนเสื้อแดงยอมแพ้แต่โดยดี

เชอะ ! เป็นไง ...คนเสื้อแดงยอมแพ้หรือเปล่า ?เปล่านะ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกหลุมพรางขึ้นไปขัดแย้งกับ พระเจ้าแผ่นดินตามที่พวกท่านได้ขุดหลุมขวางหน้าเอาไว้ แต่ที่พวกคนเสื้อแดง ต้องประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ก็เพราะพวกท่าน พากันทำความชั่วไม่เลิกยังไงล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ?

เช่นพวกท่านออกมาขวางหนังสือถวายฎีกาทำไม ? ถ้าพวกท่านไม่ขัดขวาง...ไม่กระทำแบบคนไม่หวังดี ? คนเสื้อแดง เขาไม่ออกมาเคลื่อนไหวดอกครับ เพราะหัวใจของคนเสื้อแดงใจจดใจอยู่กับ หนังสือถวายฎีกาที่หวังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้รับพระเมตตา ทรงประทานโอกาสให้ได้กลับมาแก้ปัญหาของชาติ คนเสื้อแดงจะพากัน รอฟังฎีกาอยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องแสดงพลังอะไรเลย

ขอถามพวก “วงเล็บ ทั้ง ๙” ว่าพวกท่านไม่รู้ตัวเลยเชียวรึว่า ได้ขัดขวางหนังสือถวายฎีกามาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังไม่ยอมเลิก ขัดขวาง พวกท่านได้ยกระดับ “การขัดขวาง” จากข้อขัดแย้ง “ทางใจ” ไปสู่ความขัดแย้งทาง “ความคิด” อันเป็นการยกระดับที่จะก่อให้เกิด ความบาดหมางระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน

การประกาศ กม. มั่นคงในเขตดุสิต คือการยกระดับที่เป็นกลยุทธ์ ที่แฝงเร้น ส่อไปในแววปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ?!

ผมขอกล่าวว่าสถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ มีคนอยู่ ๒ กลุ่ม

กล่าวคือกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการ) กล่าวหาคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า “ไม่มี” ความจงรักภักดี การกล่าวหาเช่นนี้ได้ยัดเยียดความโกรธแค้นชิงชัง ให้เกิดขึ้นในหัวใจดั้งเดิมของคนไทยทุกคนทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แม้ในวันนี้ก็ยังไม่มีใครเขา “ขาดความจงรักภักดี” แต่พวกเผด็จการยังคง ตอกย้ำ กล่าวหาพวกคนเสื้อแดงว่าไม่รักเจ้า

ผมอยากจะถามว่าพวกเขา “ยัดเยียด” ให้เกิดกระแสเช่นนั้นก็เพราะ พวกเขาหลงเข้าใจผิดไปกับ “กลลวง” ของคนที่เกลียดชังสังคมเก่า ที่แฝงตัวอยู่ ในหมู่อำมาตย์ พวกเขามีหัวใจปรารถนาอยากล้มล้างสังคมเก่า จึงหาวิธีการ ล้มล้างด้วยการ “ยัดเยียด” ข้อหา เพื่อจะได้สร้างกระแสกดดันให้เกิดความ ขัดแย้งขึ้นมา จะได้เป็นต้นเหตุให้คนไทยทะเลาะกันเอง

การยัดเยียดอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะมันไม่ช่วยให้เกิดการกดดัน ที่ร้อนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ “ไม้แข็ง” ประกาศ กม. มั่นคง จะได้เกิด ความร้อนแรงมากมาย

ถึงแม้ว่าจะประกาศ กม.ความมั่นคงแล้วก็ตาม หากไม่สามารถกดดัน ให้เกิดเรื่องนี้ได้ พวกเผด็จการก็จะหาทาง “ยกระดับ” ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น นั้นก็คืออาจจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม เช่นการใช้แก๊สน้ำตา หรือการใช้ รถทหารตีคนเสื้อแดงให้ถอยร่น โดยอ้างว่าเป็นการสลายฝูงชน แล้วก็อ้าง ต่อไปว่าเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

มันเป็นความชั่วช้าที่พวกมันทำกันเอง ผมอยากเขียนทบทวนความทรงจำว่า ปัญหาที่คนเสื้อแดงเขาร้องหา ไม่หยุดหย่อน ได้แก่การร้องหาความยุติธรรม แต่พวกเผด็จการทำเป็น หูทวนลม ไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องในทุกกรณี ดังจะเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึง การตั้ง “แกนนำ” พันธมิตรฯเข้าร่วมทำงานกับรัฐบาล ย่อมแสดงให้เห็น ถึงการใช้อำนาจเถื่อนด้วยหัวใจเผด็จการที่ไม่สนใจต่อคำทักท้วง

คนเสื้อแดงทักท้วนเรื่องความไม่เป็นธรรมด้วยความเจ็บปวดสุด จะพรรณนา จะทักท้วงด้วยเสียงอันดังเพียงไร ก็ไม่ผิดกับเสียงแมลงหวี่ แมลงวัน อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส

ประเทศไทยอันเป็นที่รักจึงเต็มไปด้วยความสับสน ความสับสนในครั้งนี้ จะยังไม่ร้ายแรงดอกครับ เพราะคนเสื้อแดง เขาจะไม่บุกไปบ้านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งคนเสื้อแดงจะไม่กระทำ อะไรรุนแรงต่อบ้านเมือง

แต่การแห่ออกมาด่าแหลก ...ห้ามไม่ได้ ! ลำพังแค่ด่าแหลก จะไม่ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟดอกครับ แต่ที่ จะลุกเป็นไฟตามที่ผมได้ตั้งชื่อตอนที่ ๔๑ เอาไว้ว่า “ระวังแผ่นดิน จะลุกเป็นไฟ” มันจะเกิดจากความชั่วช้าของพวก ๙ วงเล็บพากัน โหมกระหน่ำ เรียกร้องให้ปราบปรามคนเสื้อแดงให้สิ้นแผ่นดิน

เสียงปืนดังขึ้นเมื่อใด
คนเสื้อแดงถูกยิงตายเมื่อใด
ปราบปรามเหมือนเมืองเถื่อนเมื่อใด

เมื่อนั้นแล...แผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคนจะเปลี่ยน เป็นสนามรบ คนไทยจะฆ่ากันเองราวกับว่าไม่ใช่คนที่เกิดมาจากสายพันธุ์ เดียวกัน วิธีแก้ปัญหานี้มีอยู่ ๒ แนวทาง ดังนี้

หนึ่ง : ให้สร้างกฎหมายปรองดองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ทำหน้าที่ปรองดองคนในชาติให้ได้ หรือ
สอง : ยุบสภา
การ “ยุบสภา”

จะช่วยให้หัวอกที่เดือดปุดๆลดอุณหภูมิลงมา อันจะเป็นการระบายความร้อนให้บินออกไปจากหม้อต้มน้ำร้อน ผมขอเรียกร้องให้ยุบสภา โดยด่วน เพราะว่าถ้าขืนปล่อยไว้ให้รัฐบาลเส็งเคร็ง รับผิดชอบประเทศต่อไป ประเทศไทยจะไม่พ้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ ?!

จบบทที่ ๔๑ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 40 ใครอ้างตัวเป็น พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ.

บทที่ ๔๐ ตอน: ใครอ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง หน. ยก. ทบ.
กรมยุทธการทหารบก

สำเนาถึง
(๑) ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

(๒) ผู้อำนวยการสำนักนายกรัฐมนตรี
(๓) ผู้อำนวยการ กอ. รมน.
(๔) อำมาตย์ใหญ่ และประดา ครม. รัฐบาลอภิสิทธิ์
(๕) อธิการบดีและคณาจารย์ทั้งหลาย
(๖) พันธมิตร และ “สันติอโศก” ?!!

ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้วถึง ๓๙ บท นับว่าท่าน ได้สละเวลาเข้ามาร่วมคิดร่วมเสวนาปัญหาบ้านเมืองกับผม ๒ คน (ผึ้งกับสอาด) ด้วยการเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมมีใจที่จะทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่า จะถึงเวลาอันเหมาะ ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อไหร่

วันนี้ ผมส่งใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๐ มาให้ขอรับ แต่ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้พิสดารกว่าทุกฉบับ เนื่องจากมี “คนอ้าง ตัวเองเป็นพันโท” เขียนเมล์ส่งให้คุณผึ้ง แล้วคุณผึ้งก็ส่งต่อให้ผม ผมได้อ่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ จับใจความได้ว่าความเห็นแบบนี้เป็นอันตราย ต่อประเทศ อย่างร้ายแรง เพราะอาจถูกขยายผลไปสู่ความแตกแยกอันจะก่อให้เกิด สงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ผมจึงถือโอกาส วิจารณ์ พร้อมกับได้ “คัด” เมล์ทั้งฉบับเอามาแสดงเอาไว้ พร้อมกันนี้ ผมใคร่ขอมอบใบปลิวกู้ชาติบทนี้ให้แก่ (วงเล็บทั้ง ๖ แห่ง) ขอให้โหลดเอาไปพิเคราะห์ ศึกษาข้อเท็จจริง แล้วใช้คณะทำงานให้ช่วยกัน ถอดรหัสดูว่า “ใครกันแน่” คือตัวการก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับประเทศ ของเรา ?!

เพื่อความเข้าใจง่าย ผมได้คัดเมล์ของคนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฒน์ รถทอง มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ :


พ.ท. เขพัฒน์ รถทอง หน. ยก. บท. กรมยุทธการทหารบก
โปรดรู้ทันผู้คิดร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา

ทินกร เกษมสรร


ท่านคงไม่ทราบดอกว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงรวบรวมรายชื่อเพื่อการ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านคงคิดว่า พวกเขาต้องการเพียงให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ เพื่อจะได้ผู้นำที่มี ความคิดริเริ่มสูง

แท้ที่จริงแล้ว นั่นมันเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักคือ ยุยงให้เกลียดชังในหลวงของเรา อย่างแยบยลที่สุด ยากที่ใครจะรู้ทัน ข่าวลึกจากคนสนิททักษิณ (ซึ่งกำลังลำบากใจ) ยอมกลับใจเปิดเผยว่า

๑. ประชาชนยังรักทักษิณเป็นสิบล้านคน ไม่ใช่จิ๊บจ๊อยอย่างที่ คนเมืองหลวงประมาณการ เขาเลื่อมใสทักษิณในการริเริ่มแก้ปัญหาให้คนจน เช่น ๓๐ บาทรักษาทุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, กองทุนหมู่บ้าน ๑ ล้าน เป็นต้น ถ้าเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์เทียบกันไม่ติดเลย ไม่มีความ ริเริ่มเพื่อคนจนอย่างเป็นรูปธรรม

๒. เมื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ผู้รักทักษิณ ต้องการให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพราะเขารักของเขา

๓. ขณะนี้มีการปลุกระดม ทำให้ประชาชนที่รักทักษิณจำนวนมาก พูดกันต่อ ๆ ไปอย่างกว้างขวาง “จะดูใจในหลวง” แปลว่าเกิดสงครามจิตวิทยา ขึ้นแล้ว ให้มีการชั่งน้ำหนักขึ้นว่าจะเทิดทูนใครดี ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นการ ประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแยบคายที่สุด

๔. หากผลออกมาถูกใจเสื้อแดงทักษิณก็ได้ คือได้กลับมามีอำนาจ หากผลออกมาตรงข้ามทักษิณก็ได้ ได้ทำลายสถาบันเบื้องสูงแยบคายเป็นที่สุด เป็นการให้ผลทางจิตวิทยา สถาบันเบื้องสูงจะถูกดึงลงมาเทียบกับทักษิณ ให้ประชาชนเลือกข้างอยู่เงียบๆในใจ ซึ่งในทางจิตวิทยาถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์

๕ . ขอท่านทั้งหลายจงทันเกมทักษิณ ท่านจำได้ไหม นักการเมือง อื่น ๆ อาจซื้อเสียง ซึ่งเสี่ยงสารพัด แต่ทักษิณซื้อพรรคเสียเลย ใครจะ ฉลาดกว่ากัน (ถึงบทนี้มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ตกหล่น เขียนเอาไว้ว่า &Nbsp;ไม่ทราบว่าแปลว่าอย่างไร) เราอ่านทักษิณอย่างเท่าทันที่ได้ยินได้ฟัง คิดให้ลึก ๆแล้วจะรู้เท่าทันทักษิณ

๖. ต้องกราบขอโทษบรรดาเสื้อแดงทั้งหลาย หากท่านคิดจะดึง ทักษิณขึ้นมาให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างผู้มีพระคุณสูงสุดต่อชาติเรา กับทักษิณ เรากับท่านคงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หากท่านไม่ทราบกล ของทักษิณและบริวาร ที่กำลังรับจ๊อบทำงานเพื่อทักษิณ ขอจงโปรดทราบ ทราบแล้ว ท่านจงถอนตัว หรือรับใช้เขาอยู่ก็ตามใจเถิด แต่เราถือว่าท่าน กำลังประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและของท่านเอง

(จบข้อความ)

ต่อไปนี้เป็นการ “วิสัชนา” ข้อความของผู้ที่อ้างตัวเป็น “พันโท” จะเป็นจริงหรือไม่จริงไม่แปลก แต่ที่แปลกก็คือ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ทำไม จึงลืม “ความหลัง” อันเป็นมูลเหตุของปัญหา ทั้งๆที่ไม่น่าจะลืม ผมจึงของทบทวน ดังนี้

หนึ่ง : ขอถามหน่อยว่ายังจำได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศก้าวพ้นจาก ปัญหาวิกฤติ นำชาติไปสู่ความมีหน้ามีตาในระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข ไม่เคยมีข่าวระแคะระคายแม้แต่ครั้งเดียวว่าทักษิณได้กระทำตัว “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ไม่เคยมีอาการ กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ากรณีใด ๆ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ อันชาวโลกรับรองอยู่แล้ว

กล่าวให้ชัด ตัวของทักษิณไม่เคยขัดแย้งกับสถาบันไม่ว่ากรณีใด ๆตัวทักษิณ ได้บริหารประเทศจากการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทุ่มเทแก้ปัญหาของชาติ กำลังแก้ปัญหา ความยากจนอย่างเร่งรีบที่สุด และได้ผลเกินคาด สุดจะพรรณนา

สอง : ขอทบทวนความจำว่า ขณะ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ กำลังสร้างงานให้แก่มหาชน ทำงานอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่ได้ถูกพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และสันติอโศกเล่นงานอย่างสาดเสียเทเสีย

ต่อมา ก็ได้ถูกทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ยึดอำนาจ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ซ้ำเข้าไปอีก ทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ฉีก รัฐธรรมนูญทิ้ง ไปเอานายกรัฐมนตรีนอกระบบมาปกครองประเทศ อ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาแล้วพากันสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการเอาขึ้น มาเป็นเครื่องมือให้แก่พวกของตัวเอง มาจนถึงวันนี้

สาม : ต่อมา พวกท่านคงทราบกันดีว่า หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ ตัวทักษิณหมดอำนาจทางการเมืองพร้อมกันกับพวกบ้านเลขที่ ๑๑๑ พวกไทยรักไทยเก่าพากันตั้ง “พรรคพลังประชาชน” ต่อมาชนะการเลือกตั้ง ได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

ในสถานการณ์ตรงนี้ คนของฝ่ายทักษิณ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า การทำลายจะยังมีอยู่ ทุกคนคิดแต่ว่าเมื่อ ๑๑๑ คนสิ้นสภาพไปแล้ว คนใหม่ เข้ามาทำงานก็น่าจะได้ทำงานตามที่ประชาชนยังศรัทธาเลื่อมใส แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม พวกเดิมยังคงตามราวีอย่างร้ายกาจและ รุนแรงกว่า สุดจะอธิบายได้

รู้ความจริงว่า พวกเขายึดถนนสะพานมัฆวาน ใช้กองกำลังจัดตั้ง เอาไปบุกสถานีโทรทัศน์ NBT แล้วยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมือง บุกถล่มยิงวิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ที่ปากซอย ๓ถนนวิภาวดี ยึดสนามบินสุวรรณ ภูมิ ใช้อาวุธ (ระเบิดปิงปอง) ต่อสู้กับตำรวจ แล้วกล่าวหาตำรวจว่าเข่นฆ่า ประชาชน การกระทำของพวกเขาได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ และ “ยับเยิน” น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

ความวุ่นวายน่าจะจบลง เมื่อทักษิณหมดอำนาจ แต่มันไม่จบ มันวุ่นวายต่อ ดังที่ทุกคนทราบ ผมขอเรียนว่า“ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงที่การเลือกตั้งใหม่”ปล่อยให้ การเมืองเดินไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ใช้ฝีมือ บริหารประเทศด้วยความสงบและราบรื่นผมก็เชื่อว่า “เสื้อแดง” จะไม่แดง เต็มแผ่นดินอย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆในประเทศไทย เลย แต่ความขัดแย้งมันกำเริบขึ้นมา เกิดจากสันดานชั่วของพวกเผด็จการ ที่จองเวรไม่เลิก ทำให้คนเสื้อแดงฮึดสู้ เมื่อเขาฮึดสู้ ความร้อนแรงจึงระเบิด ขึ้นมา (ยังไงล่ะ) ?!

สี่ : ผมขอทบทวนความจริงให้ปรากฏต่อไปว่า ได้มีการวางแผน ที่จะสกัดกั้นอย่างเป็นระบบ มุ่งหน้าที่จะไล่ล่าเอาทักษิณมาทำลายให้ได้ (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)โดยอ้างว่าทักษิณเป็นนักโทษ พวกท่านต้องถามเอากับตนเองว่าทักษิณ เป็นนักโทษจากมาตรฐานกฎหมายเผด็จการที่พวกท่านสร้างขึ้นใช่หรือ ไม่ พวกท่านตั้งใจสกัดทุกรูปแบบใช่หรือไม่ ?

ห้า : จากข้อเท็จจริงทั้งหมด ได้ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม ทนดูต่อไม่ได้ พวกเขาลุกพรวดออกมาจากที่นอน แบกสังขารออกมา ร่วมต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ประเทศแต่ไม่มีใครคนไหน ให้ความสนใจเลย ตรงข้ามกลับพากัน “ขย่มร้ายแรง” ยิ่งขึ้น (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)

หก : ข้อความดังต่อไปนี้ ท่านยังจำได้ไหม
(๑) พันธมิตรประกาศในทำเนียบรัฐบาลว่ามีแต่คนเสื้อเหลืองที่รักเจ้า ส่วนพวกเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี
(๒) นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี อภิปรายในรัฐสภาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่งตั้งทนายฟ้องคดีหมิ่นประหมาทนายสุเทพ ศาลไม่รับฟ้องโดย วินิจฉัยว่า นายสุเทพกล่าวออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(๓) องคมนตรีท่านหนึ่ง ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวหา

เจ็ด : ต่อจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้กล่าวคนเสื้อแดงว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ?!!

แปด : ผมอยากสอบถามความเข้าใจฝ่ายบ้านเมืองว่า ตัวเองได้ อำนาจมาโดยมิชอบ ใช้วิธีการ “หักดิบ” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีงูเห่า ภาค ๒ แล้วเอาแต่ขึ้นภาษี กู้เงิน ๘ แสนล้าน แถมไปขอกู้เงินจากผู้สูงอายุ ในระบบการออกพันธบัตร เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปจ่ายส่งเดช หวังจะโกย คะแนนนิยม ให้เงินเลี้ยงชีพแก่ผู้ชราเดือนละ ๕๐๐ บาท มีคนส่วนน้อยได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้

รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับฟังเหตุผลการขอถวายฎีกา นอกจากไม่รับฟัง ยังได้ออกมา “ต่อต้าน” อย่างเปิดเผยอีกด้วย

เก้า : คนเสื้อแดงเขาต้องการให้รัฐบาลลงโทษคนที่ระเมิดกฎหมาย ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ ทำลายระบบอำมาตย์ที่เอาแต่ตักตวงความสุขส่วนตน มิได้มีความสงสาร คนยากคนจนเลย คนเสื้อแดงหมดที่พึ่งด้วยประการทั้งปวงจึง “บากหน้า” ไปขอพึ่งองค์พ่ออันเป็นที่พึ่งสูงสุดของประเทศ

สิบ : แม้กระทั่งได้ส่งหนังสือถวายฎีกาแก่สำนักราชเลขาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๒ สองวันต่อมา นายกสภาทนายความ (นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์) ได้แนะนำรัฐบาลให้รีบล้มฎีกา อ้างว่าคนเสื้อแดง กระทำไม่สุจริต

บทสรุป : ผมขอสรุปว่า สิ่งที่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง เขียนมา ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรเลย เพราะว่าเรื่องเลวร้าย ที่เกิดกับประเทศไทยนั้น เกิดจาก “คนชั่ว” กุเรื่องขึ้นมาเล่นงานทักษิณ แล้วก็เล่นแรงมาจนถึงวันนี้ จนกลายเป็นเรื่องเลวร้าย กระทบกระเทือนถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คนเสื้อแดงขอถามว่า ถ้าพวกคุณไม่กลั่นแกล้ง ไม่รังแกคนในชาติ เดียวกัน จะมีคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาได้ไหม และขอถามต่อไปว่า แนวทาง แก้ปัญหามีอยู่และง่ายอย่างยิ่ง ทำไมไม่ทำ นั้นก็คือให้พากันสลัดความชั่ว ออกจากจิต ยอมที่จะข่มใจอิจฉาของตัวเอง ยอมรับความเก่งของคนอื่น แล้วปล่อยให้วิถีทางประชาธิปไตยบริหารระบอบด้วยความเป็นธรรม แล้วตัดสินใจออกกฎหมายพิเศษขึ้นมาโดยด่วน เรียกว่า “กฎหมาย ปรองดองแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. ........” !

ก็จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้เป็นอย่างดี ผมขอสรุปต่อให้ฟังว่า “แนวทางของกฎหมายปรองดองแห่งชาติ” ประกอบด้วยการใช้กฎหมายเพื่อการทำลายความขัดแย้งให้หมดสิ้นไป ใช้กฎหมายปรองดองเป็นรากฐานการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายระบอบเผด็จการอย่าให้ทรงอิทธิพลข่มขู่คุกคามประชาชนได้อีก ต่อไป

ต้องทำลายหลักการในมาตรา ๒๓ ถึงมาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน (๒๕๕๐) ที่เขียนเอาไว้ (ย่อความ) “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง” ซึ่งถือเป็นต้นตอของการหมกเม็ดที่จะทำลายราชวงศ์จักรี ของพวกอำมาตย์ ใจชั่ว ที่นักวิชาการ และนักเขียนรัฐธรรมนูญ (๕๐) ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อจะสนับสนุนบารมีให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธาน องคมนตรี

ในกฎหมายปรองดองแห่งชาติจะต้องกำหนดแนวทางของรัฐธรรมนูญ ใหม่ว่า “หากพระเจ้าแผ่นดินของพระราชอาณาจักรไทยในรัชกาลนั้นสิ้นสุดลง ณ เวลาใด ให้รัฐสภากราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์ สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ต่อในวันเดียวกันแล้วประกาศให้ พสกนิกรทั้งปวงได้รับทราบทั้งในและต่างประเทศในทันที”

ท่านผู้อ่านครับ ผมได้แสดงความคิดเห็นมาทั้งหมด ถือเป็นการ “วิสัชชา” อันเป็นการอธิบายความให้แก่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง และถือโอกาส สำเนาถึงหน่วยงานและองค์กร อีก ๖ วงเล็บดังกล่าว

ก่อนจบ ผมขอสรุปว่า คนที่วางแผนจะล้มเจ้าตัวจริงนั้น น่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์กับพวกพวกอำมาตย์บางคนมากกว่า ซึ่งผมจะได้เขียนมา ให้อ่าน หรือเขียนแบบกระชากหน้ากากให้รู้กันเสียทีว่า ทักษิณ หรือ ใครกันแน่ ที่ได้กระทำ “ทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างแยบคายที่สุด” ?!
ถ้าหน่วยเหนือและผู้จงรักภักดีมีจริง คงจะไม่เพิกเฉยต่อใบปลิวกู้ชาติบทที่ ๔๐ นี้.

จบบทที่ ๔๐ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 39 นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้

บทที่ ๓๙ ตอน : นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้ ?!

ข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เข้าสภาโดยไม่เคยมีข่าวให้รู้ล่วงหน้าและไม่ระแคะระคายมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในสถานการณ์ เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ “คนเสื้อแดง” เพิ่งจะยื่นหนังสือถวายฎีกาเสร็จสิ้น และผ่านไปหยก ๆ ไม่ถึง ๒ วัน (วันยื่นหนังสือถวายฎีกา : ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒) !

เอ๊ะ...เมื่อก่อนทำไมไม่คิดยื่น ? ผมได้ตรวจดูข่าวอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกสงสัยว่าทำไม จึงมุ่งแต่จะนิรโทษให้แก่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง ๒ ฝ่ายนี้เท่านั้น ทำไมไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้สมเหตุผลอย่างยิ่ง

เหตุที่ว่า “สมเหตุสมผล” หมายถึงต้นตอของปัญหาเกิดมา จากอำมาตย์และพวกเผด็จการพากันก่อขึ้น ด้วยการโยนความผิดไปให้ ท่านนายกทักษิณ หาว่า “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ซึ่งเป็นการ “ปั้นความเท็จ” ใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

ดังนั้น การที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง มันจึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เนื่องจาก คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง คือเครือข่ายมวลชนที่ผูกติดอยู่กับ “หัวกระบวน” ที่เป็นคู่ทะเลาะวิวาทกัน

เสื้อเหลืองนั้นผูกติดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเผด็จการ น่าจะเรียกคนกลุ่มนี้ ว่าเป็นฝ่ายเอาความเท็จมา “กล่าวหา” !

คนเสื้อแดงนั้น ผูกติดอยู่กับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” เรียกว่าฝ่าย “ผู้ถูกข้อกล่าวหา” อันเป็นเท็จ เล่นงาน สะบักสะบอม !

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสรุปได้ว่าคู่กรณีของเรื่องนี้ ได้แก่คนใหญ่ คนโตของประเทศไทยเป็นหัวกระบวน หาใช่ปลายแถวคนเสื้อเหลือง และปลายแถวคนเสื้อแดงแต่อย่างใดไม่ แล้วเหตุไฉน พรรคภูมิใจ ไทยจึงไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับมุ่งไปหา “พวกตู้รถพ่วง” เพื่อจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อแม่พี่น้องชาวรากหญ้า หรือพวกปลายแถวให้ได้ แล้วแสดงโวหารว่ากฎหมายฉบับนี้ จะทำให้คนในชาติเกิดความสงบ ความสมานสามัคคี อันจะทำให้ คนไทยปรองดองกันได้ เขาว่าอย่างนั้น

ขอโทษ หัวกระบวนยังเป็นพระเพลิงอยู่
ในขณะ “ปลายแถว” ยังเดือดปุด-ปุด
แล้วมันจะสงบได้อย่างไร ?

ผมจึงอยากเขียนในเชิงสนทนากันเล่นกับท่านผู้อ่านที่ติดตาม ใบปลิวกู้ชาติ โดยมิได้หวังผลว่าจะทำให้เกิด “จิตสำนึก” หรือเกิดการ เข้าใจใหม่แต่ประการใดไม่ เพราะว่าเราตระหนักอยู่แก่ใจของเราดีว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไร้ระบบไปหลายปีแล้ว

ดังนั้นเราควรมาช่วยกัน “นินทา” เล่นดีกว่าเน๊าะ...จริงไหมครับ ผมขอนินทาว่า คนที่โยนความผิดอันเป็นเท็จให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรก ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในสมัย นายชวน หลีกภัยยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เมื่อ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นทายาททางการเมืองต่อจาก นาย ชวน หลีกภัย ในระดับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้สวมวิญญาณ “เท็จ” ตามก้นนายชวนทุกอย่าง

ผมนินทาอย่างนี้ นับว่าไม่ผิดไปจากข้อเท็จจริง ผมขอนินทาข้ามไปที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ที่มี สมีโพธิรักษ์ กับคู่หู ๒ คน คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง พากันเป็นนักรบแนวหน้านำพากองทัพธรรม บุกพรรคไทยรักไทย บุกเลยมาถึงพรรคพลังประชาชน และพรรค เพื่อไทย ในยุคของท่านนายกฯสมัคร และนายกฯสมชาย ทำให้เห็น ฤทธิ์เดชของการใช้ “ความเท็จ” เล่นงานคนดีอย่างดุเดือดเลือดพล่าน มากขึ้น...และมากขึ้น

ขนาดยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ก็ยังกล้าทำ การกระทำทั้งหลายพวกนั้น ได้อ้างความเท็จเอามาเป็น เครื่องมือโดยอ้างว่าเป็นเพราะทักษิณ เป็นคนชั่ว เป็นภัยต่อประเทศชาติ หากขืนปล่อยไว้ ประเทศไทยจะเสียสถาบัน และกล่าวเลยไปถึงปัญหา ประเทศไทยจะเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชา (ดูเขากล่าวหาซีครับ)

มิใช่แต่เท่านี้ ยังกล่าวเท็จกันทั้งโคตรว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการไปมีสัมปทานบ่อน้ำมัน ลักลอบขโมยทรัพยากรของชาติขายเอาเงินใส่กระเป๋า หลังจากนั้นก็ นำเอาถ้อยคำที่เป็นเท็จไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ จนเป็นเหตุ ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นในชาติ มีพวกเสื้อเหลืองมากมาย มีการเดินขบวน มุ่งที่จะขับไล่รัฐบาล มีการ “เอามือตบไล่ตี ไล่ด่า” จนเป็นเหตุทำให้เกิด ประเพณีตีนตบตามขึ้นมา

เสื้อแดงล้างแค้นเสื้อเหลือง ?!!

ครับ ผมนินทายืดยาวขนาดนี้ก็จริง แต่เอาเข้าจริงมันเป็นเพียง “เสี้ยวหนึ่ง” ของนิยายการเมืองน้ำเน่าในยุคกึ่งพุทธกาลของประเทศ สยาม ที่สามารถลูบคลำจับต้องได้ แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่อาจเปิดเผย ของจริงให้เห็นได้เลย แม้แต่กระดาษแผ่นเดียว

ตัวอย่างเช่นกรณีข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบตักตวงผลประโยชน์บ่อน้ำมันในน่านน้ำไทย กับประเทศกัมพูชา ทักษิณ เป็นคนขายชาติ

พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาเป็นตุเป็นตะราวกับมันเป็นเรื่องจริง ทุกประการ

แต่วันนี้ หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล (สมใจนึก) มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อันจะสามารถ ตรวจสอบได้ด้วยพลังมหาศาล

แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถ “ดึงเอาสัญญา” ที่เป็นปัญหา ทับซ้อนมาฉีกหน้า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้แม้แต่แผ่นเดียว ! เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ผู้อยู่ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้เป็น นายกรัฐมนตรีใหญ่โตขนาดนี้ ไม่อาจ “เอาหลักฐาน” มาฟาดฟันได้

มันย่อมหมายถึงข้อกล่าวหาที่หลุดออกมาจากปากของพรรค ประชาธิปัตย์ในช่วง ๔ – ๕ ปีผ่าน “ล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ” มันเป็น เรื่องโกหกพกลม เป็นเรื่องของเจตนาร้าย และเป็นเรื่องความโฉดชั่ว ที่พากันตั้งใจทำ โดยไม่มีการคำนึงถึงคุณธรรม-จริยธรรมแต่ประการใด

ผมเขียนมาถึงถ้อยคำตรงนี้ ผมรู้สึก “ขำ” ในสติปัญญาของ นักการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์ที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีพรรคอื่น ๆ เช่นพรรคชาติไทยเก่า (ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจากเมืองสุพรรณ) จะพลอยตกเป็นเหยื่อของคนขี้จุ๊ตามไปด้วย รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่ ดันให้นาย ชวรัตน์ ชาญวีระกูร รมว. กระทรวงมหาดไทย กลายเป็นคนชื่นชอบ “ความเท็จ” เข้าไปอีก มันดูไม่จืดกับสภาพการเมืองไทยเลยครับ

ใช่...ผมขำ แต่ไม่สามารถขำกลิ้งได้เลย เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ มิใช่เรื่องสนุก แต่มันเรื่องของความคับแค้นใจ ที่ร้ายกาจและรุนแรง ความคับแค้นใจเช่นนี้ เคยก่อตัวเป็นภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้นในประเทศ ญี่ปุ่น ถึงขนาดเป็นพลังผลักดันให้ “ ๔๐ - ยอดซามูไร” ต้องสวม วิญญาณโหด ไล่ตัดคอพวกอำมาตย์ชั่ว ขุนนางเลว ด่าวดิ้นเป็นผี เฝ้าป่าช้า

สาเหตุของ ๔๐ ยอดซามูไรนิรนามพวกนั้นยอมทำบาป เกิดจากอาการขำเหมือนกัน แต่เป็นประเภทขำไม่ลง

ผมขอนินทาให้ฟังต่อไปว่า หลังจากคมดาบซามูไร ฟันฉับ เข้าที่ต้นคอของอำมาตย์ชั่วและขุนนางเลวด่าวดิ้นลงไป ยอดซามูไร “จะยิ้มที่มุมปากด้วยความสะใจ” มีอาการขำที่ล้ำลึก เย็นยะเยือก ประหนึ่งเป็นการ “ยิ้มอำลา” แก่ดวงวิญญาณที่โฉดชั่ว พร้อมกับได้ สอดดาบเข้าฝักเพื่อจะเก็บรักษาไว้เป็นดาบสังหารขุนนางชั่วที่เป็นภัย ต่อประเทศชาติชาวอาทิตย์อุทัย

ผมเคยถามเรื่องนี้กับคนญี่ปุ่นว่า อะไรคือ “ทฤษฎี” ชี้นำ ของยอดซามูไรนิรนามเหล่านั้น คนญี่ปุ่นได้ให้คำตอบแก่ผมว่า เป็นเพราะขุนนางเลว อำมาตย์ชั่ว อาศัยพระราชอำนาจของจอม จักพรรดิ คดโกงประเทศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถ ปราบปรามได้

มีแต่ยอดซามูไรเท่านั้น ที่สละชีพปราบปรามคนชั่วให้สิ้นซาก เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ยอดซามูไรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย !แต่พร้อมที่จะกลับมาอีก...เมื่อชาติต้องการ ?!

ผมนินทาจบแล้วครับ...ผมขอสรุปว่า กฎหมายนิรโทษกรรมที่ พวกเขาพยายามเหลือเกิน ไม่ว่าจะล้มหรือได้รับการตราเป็นกฎหมาย... มันแก้ความปรองดองไม่ได้ดอกครับ ?!

จบบทที่ ๓๙ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 38 วันถวายฏีกา...ฟ้ายังร้อง

บทที่ ๓๘: วันถวายฎีกา...ฟ้ายังร้องรับ..?!

ท่านผู้อ่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓๗ บท วันนี้ผมขอนำบทที่ ๓๘ มาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องราวที่เล่าเป็นเรื่องของความเชื่อในลักษณะของคนนับถือ พระพุทธศาสนา นั้นก็คือขณะทำการถวายฎีกาอยู่นั้น พลันก็ได้เกิดฟ้าร้องเสียงดัง ครืน-ครืน โดยมิได้มีเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย อันทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเชื่อ ขึ้นมาว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ดังถึงฟ้าถึงสวรรค์

ผมจึงขอกราบเรียนดังต่อไปนี้

ในที่สุด...การถวายฎีกาก็สำเร็จลุล่วงด้วยความสมหวังของคนเสื้อแดง ทั้งหลาย ผมเชื่อว่าความสำเร็จของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ คงจะทำให้รัฐบาล เผด็จการและพวกอำมาตย์ใหญ่ คงจะพากันผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ไม่อาจสกัดกั้น คนเสื้อแดงได้ดังใจนึก ตรงกันข้าม ภาพที่ปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ มันได้กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของคนไทยทั้งแผ่นดินไปแล้ว

ใครไม่เคยเห็นก็ได้เห็น !
ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ !!

ภาพดังกล่าวนี้ คงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก อันจะทำให้ชาวโลก เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนคนใส่เสื้อแดง จึงแห่ไปยื่นหนังสือถวายฎีกา

ซึ่งผมเชื่อว่าบางท่านก็จะเข้าใจง่าย แต่ผู้คนชาวต่างชาติต่างศาสนา อีกมากมายจะไม่มีวันเข้าใจ

คนต่างชาติจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจคงไม่แปลก ทั้งนี้เนื่องจากคนเสื้อแดง ต้องการให้คนไทยด้วยกันเข้าใจการกระทำของพวกเขา อันเป็นเรื่องของ ความต้องการความเป็นธรรม คนเสื้อแดงมีความเชื่อว่าสังคมไทยไม่มี ความเป็นธรรม เกิดมาจากถูกอำมาตย์ใหญ่บงการอยู่เบื้อหลัง จึงเล่นงานอำมาตย์ ใหญ่แบบไม่เกรงใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ใจของอำมาตย์ใหญ่โกรธแค้นชิงชังคนเสื้อแดง ไม่รู้จักจบจึงไม่อาจทราบได้ว่าเรื่องจะไปลงเอยแบบไหน ดีหรือร้าย..สุดแต่ จะมีอะไรเกิดขึ้น

ท่านครับ ผมจะไม่เขียนให้เกิดความวกวน ผมขอนำเอาเรื่อง “ถวายฎีกา ฟ้ายังร้องรับ” มามอบให้ท่านที่อยู่ไกลบ้านได้อ่านดีกว่านะครับ กล่าวคือ ขณะพิธีส่งหนังสือถวายฎีกาในช่วงนาทีสุดท้าย ได้เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งว่าฝนกำลังจะกระหน่ำลงมา !

แต่ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ไม่มีหยาดน้ำฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะนั้นผมยืนอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ในท่ามกลางคนเสื้อแดงล้นออกไป ถึงอีกฝั่งหนึ่ง พี่น้องคนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ร้อง “ต้อนรับ” เสียงจากท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน สายตาของทุกคนมองขึ้นไปเบื้องบน ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีแต่ความน่าแปลกใจสุดจะพรรณนา

อีกสามนาทีต่อมา เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ ประชาชีทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงตอบรับดังกึกก้องกว่าเดิม ขณะเดียวกันผม สังเกตเห็นคนเสื้อแดงยิ้มเต็มใบหน้าคล้ายกับจะหยั่งรู้ในความลี้ลับอันน่าอัศจรรย์ ใจที่ได้ยินเสียงจากฟ้าด้วยตนเอง ยิ่งพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัท ยิ่งผูกพันอยู่กับความเชื่ออันยิ่งใหญ่นี้เกินจะพรรณนาได้

ผมถือกล้องวีดิโอ ตระเวนถ่ายภาพเคลื่อนไหวจนรอบสนามหลวง ได้เก็บภาพพระภิกษุสงฆ์และประดาคนเสื้อแดงที่หลั่งไหลมาจากทุกจังหวัด ในประเทศไทย ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้เห็น “คนไทย” ตื่นตัว ทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ผมบอกกับตนเองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วละก็ เผด็จการใหญ่ในวันข้างหน้าจักไม่มีพื้นที่จะยืนอย่างแน่นอน

ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า.... ! พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ผมถือโอกาสพูดคุยกับคนเสื้อแดงและขอเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับ ถือโอกาสแสวงหามิตรสหายไปในตัวเสร็จ โอกาสเดียวกันนั้นผมได้คุยกับ “คุณปรีชา สุวรรณ” (๐๘๕-๑๙๕๙๔๘๘) เสื้อแดงอำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี มีอาชีพค้าขายพืชไร่ คุณปรีชา

บอกถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วม วันประวัติศาสตร์ว่า ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหมือน พลุหนึ่งพันลูก ยิ่งทำให้เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่าสวรรค์ทรงทราบ จึงมั่นใจ ว่าการถวายฎีกาในครั้งนี้ จะเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สามารถหนีพ้น ไปจากเผด็จการมุ่งสู่ประชาธิปไตยไม่นานเกินรอ

คุณปรีชา สุวรรณ เล่าถึงปัญหาเผด็จการในประเทศไทย ได้ทำให้ “คนไทย” กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวมิใช่น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม จะสามารถ เปรียบเทียบได้ถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” กับ พรรคไทยรักไทย

สมัยทักษิณ ทำมาหากินขึ้นดีเหลือเกิน มาถึงสมัยทหารยึดอำนาจ ความยากจนเข้ามาเยือน ยิ่งเป็นสมัยอภิสิทธิ์
ร้ายแรงเหมือนตกนรก ?!
หากินไม่รอด ?!
เกิดเป็นวันมีแต่ยากจนลง ?!

คุณปรีชา สุวรรณเล่าไม่มากนัก เพราะต้องรีบเดินทางกลับพร้อมกับ คณะ แล้วบอกว่าในโอกาสข้างหน้า จะพา “ชาวบ้าน” ที่ได้รับผลกระทบ จากเผด็จการมาออกทีวีดาวเทียม รายการเสียงประชาชน จะเอาความจริง มาเล่าให้ฟัง คุณปรีชายืนยันกับผมเอาไว้ครับ

เสร็จจากคุณปรีชา..ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล ขอสงวน นามของท่านเพื่อความปลอดภัยของพระสงฆ์ หลวงพ่อเป็นพระผู้ใหญ่ที่จังหวัด กาฬสินธุ์ ได้เล่าให้โยมสอาดฟังว่า พระรู้สึกเป็นห่วงประเทศชาติเหลือเกิน บ้านเมืองกลายเป็นเผด็จการเต็มร้อย

รัฐบาลไม่ยอมปรองดองกับคนเสื้อแดง จะปราบให้สิ้นซากท่าเดียว หลวงพ่อทนไม่ได้ จึงพาพระเณรเดินทาง เข้าร่วม ถวายฎีกา โดยมีพระอาจารย์ (ดร.) พระมหาโชว์ ทัสสะนีโย เป็นแกนนำ ฝ่ายสงฆ์ เพื่อจะ หาทางช่วยอดีตนายกทักษิณ ให้ได้กลับประเทศไทย อย่างผู้มีเกียรติ

“เห็นไหมโยม...ฟ้ายังรับรู้เลย ...” ?!
ผมตอบถวายไปว่า...เห็นแล้วครับ

ขณะที่ผมกำลังสนทนาอยู่กับหลวงพ่อ ก็ได้ยิน “นายหัววีระ มุสิก พงศ์” อ่านหนังสือถวายฎีกาที่ได้ส่งมอบแก่ท่านรองราชเลขา ให้คนเสื้อแดง ได้ยินทั่วท้องสนามหลวง เมื่ออ่านจบ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ได้ประกาศ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสมหวังว่า บัดนี้ภารกิจการถวายฎีกา ได้สำเร็จลงทุกประการแล้ว ต่อไปนี้ ก็จะได้เชิญ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อร้องจบ ก็จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน และขอให้ทุกท่าน เตรียมตัวร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี ณ บัดนี้ !

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้เก็บภาพอันน่าตื่นเต้นประทับใจ ภาพเช่นนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่สำหรับวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! มิได้มี อะไรยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวอย่างง่ายดายราวกับเนรมิต ดังจะเห็นได้ว่าคนเสื้อแดง แม้จะอยู่ไกลแสนไกล ก็ยังพากันเดินทางถึง ท้องสนามหลวงก่อน ๐๘.๐๐ น.

ตรงเวลายิ่งกว่าคนทำงานในกรุงเทพเสียอีก เมื่อเดินทางถึง ต่างพากันจับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบโดยมิต้อง มีการจัดแถว แล้วส่งเสียงแสดงความรู้สึก “ดีใจ” ต่อแกนนำทั้งหลายที่ขึ้นมา ร้องเพลงขับกล่อม รวมทั้งมีการอธิบายชี้แจงขั้นตอนการถวายฎีกาต่าง ๆ ให้ทุกคนได้รับทราบ

คนเสื้อแดงพากันนั่งลงที่ข้างหน้าเวที ขณะแกนนำทำงานอยู่บนเวที เรียงแถวด้วยใบหน้าแจ่มใส กล้องของสถานี เสียงประชาชน [P-voice] บันทึกถ่ายทอดสด ขณะกล้องของทีวีช่อง ๓ กำลังทำข่าวอยู่เพียงสถานีเดียว ในขณะสถานีโทรทัศน์ ของรัฐบาลอื่นๆ ไม่มีใครมา จึงเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวในครั้งนี้แบบ ไม่มีมิตรภาพเหลืออยู่

ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยถึง อันเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวแบบตัดญาติ ขาดมิตร

นอกจากจะงดการเสนอข่าวดังกล่าว ยังได้ “บิดเบือน” ออกข่าวว่า มีคนอยู่ในท้องสนามหลวงประมาณ ๗,๒๐๐ คนเท่านั้น แล้วให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลสามารถรักษาความสงบได้ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง

ผมรู้สึกขมขื่นกับกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ดูซีครับ พูดออกมาได้ ๗,๒๐๐ คน ! ตัวเลขที่แท้จริงมากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน ผมขอเรียนว่า ภายในท้องสนามหลวง เต็มจนแน่นขนัด แถมมี ทะลักและล้นออกมาที่คลองหลอด และทะลักไปถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ คำนวณดูซิ...จะมีเสื้อแดงมากกว่าแสนคนหรือไม่ ถ้าคำนวณไม่ออก ให้มองไป ทางด้านธรรมศาสตร์ จะพบว่าแน่นจนล้น

ทางประตูวิเศษไชยศรี ก็ล้นปรี่แล้วจะมีเพียง ๗,๒๐๐ คนได้อย่างไร ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมอยากสรุปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจอย่างยิ่งว่า โอกาสที่จะได้เห็น“น้ำตา” อำมาตย์ใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูง เหตุที่ผมเชื่อ เช่นนี้เนื่องจากแม้แต่ฟ้า ยังส่งเสียง ครืน-ครืน ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อผม กลับถึงบ้าน ก็ได้ข่าวจากปากของเพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อ“มหากมล ศรีนอก” เล่าให้ฟังว่า ขณะฟ้าร้องเหนือท้องสนามหลวง

ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ทำเนียบรัฐบาล ?! ผมเป็นพุทธเหมือนกัน จึงเชื่อเป็นตะเป็นตะว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ฟ้ายังร้องรับเลยครับ สอดคล้องกับพี่น้องชาวพุทธนับแสนคน ที่ได้พบเห็นในวัน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับการ “ปรับปรุงแก้ไข” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

จริงไม่จริงไม่นานเกินรอ
จะได้เห็นอย่างแน่นอนว่าจะเป็นหมู่หรือจ่า ?!

จบบทที่ ๓๘ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 37 ถวายฏีกา เป็นเรื่องวิเศษ

บทที่ ๓๗ ตอน : ถวายฎีกา เป็นเรื่องวิเศษ ?!

ท่านผู้อ่านได้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” มาจนถึงบทที่ ๓๖ ! ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๓๗ ผมขอเรียนสถานการณ์แบบวันต่อวัน ให้ทราบว่า การถวายฎีกาได้เดินมาถึงจุดนัดหมายแล้ว คือวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงนับแสนจะพากันแน่น ท้องสนามหลวง !

โชคดี ! ไม่มีข่าวทหารออกมาเคลื่อนไหว

แต่มีข่าวเลวจากหัวเมืองทั่วประเทศว่า กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด นำพาประชาชนร่วมกัน “ต่อต้าน” การถวายฎีกา แต่ไม่ปรากฏว่าจะมีประชาชนให้ความ ร่วมมือ นอกจากไม่ให้ความร่วมมือดังว่ายังเอาข่าวมาปูดให้เป็นที่ อับอายขายหน้าอีกต่างหาก ทำให้เห็นความชั่วของกระทรวง มหาดไทยชัดเจนยิ่งขึ้น

ใบปลิวกู้ชาติบทนี้เขียนวันที่ ๑๖ สิงหาคม/๕๒ อีกวันเดียวก็จะถึงกำหนดนัดหมาย

ผมเดาไม่ออกว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่ แต่มีความรู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจว่า “ทหารคงไม่กล้าที่จะใช้กองกำลังปราบปราม คนเสื้อแดง” เพราะว่าถ้าทหารทำเช่นนั้น แทนที่บ้านเมืองจะสงบ มันจะกลับกลายเป็นนรกลงหัว อีกอย่างหนึ่งนอกจากนรกจะลงหัว แล้ว ยังจะนำ “สงครามกลางเมือง” [Civil War] มาสู่ ประเทศไทยอีกด้วย

หรือว่าทหารอาจจะทำการยึดอำนาจอีกครั้งเหมือนกับ เมื่อครั้งการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี ๒๕๔๙ อันเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหมด ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทย อยู่ในขณะนี้ การทำรัฐประหารในครั้งนั้น (๑๙ กันยายน/๔๙) ! ได้ก่อความวิบัติย่อยยับทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทหารยังกล้าที่จะยึดอำนาจอีกกระนั้นหรือ ?

คงจำกันได้ไอ้ตัวมารร้ายที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวิบัติ ย่อยยับ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ กลับโยนความผิดไปยัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้ก่อ ความเสียหาย แล้วพากันประกาศออกมาว่า “ถ้าไม่มีทักษิณคนเดียว ทุกอย่างจะดีขึ้น..” ?

การประกาศเช่นนี้ ทำให้ผม “ตีความ” ได้หลายสถาน เช่นตีความว่า “ลอบสังหาร” ให้ตายไปจากโลกนี้ หรือจัดการ ให้กลายเป็น “นักโทษ” ตลอดกาล จะได้หมดความชอบธรรม ในทุกกระบวนการ จนไม่สามารถกลับเข้ามาสู่ถนนการเมืองได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้พวกเผด็จการมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใคร มาขัดขวาง “พวกเขา” อีกแล้ว

“พวกเขา” พวกนั้น หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ และ พวกเผด็จการทั้งหมด อันประกอบด้วย “นักการเมือง ทหาร ข้าราชการ และเจ้าสัวใหญ่” ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครองอำนาจ ในประเทศอย่างยาวนาน การครอบครองของพวกเขา-พวกนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีการของพวกอนุรักษ์นิยมผสมเผด็จการผูกขาด ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคม และแตกต่างในประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยของประเทศไทยนั้น ! ถ้าเป็นคนรากหญ้า และคนยากคนจน จะพากันเรียกประชาธิปไตยที่ตัวเองได้รับว่า “ประชาธิปไตย-ครึ่งใบ” แต่ถ้าเป็นเจ้าสัว และประดาขุนนาง ทั้งหลาย จะพากันเชิดชูว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย “เต็มใบ” !

ผมขอเรียนว่าเหตุที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ๒ อย่าง ก็เพราะคนรวยและพวกขุนนางทั้งหลาย ได้รับอำนาจ อิสรเสรีภาพ และความอิ่มเอิบอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องการอะไร ไม่ว่ายากหรือลำบากเพียงไร ก็จะได้อย่างสมหวัง พวกเขา จึงเกิดความรู้สึกว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่เต็มใบทุกด้าน

แต่ “คนจน” และคนรากหญ้า ขาด ๆ วิ่น ๆ จึงเป็น ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมาเพียงเล็กน้อยที่แท้มันคือ “เรื่องใหญ่” และร้ายเหลือ ! สุดจะประมาณได้ เรื่องใหญ่เรื่องนี้ ได้ส่งผลให้คนไทยเกิดความขัดแย้งกันทั้งแผ่นดิน ดังจะเห็นได้ว่า วันนี้ คนเสื้อแดงเขาพากันรวมตัวกันมากกว่า ๕ ล้านคน ขอถวายฎีกา เพื่อจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าพสกนิกร “มีความทุกข์” ทั้งทางกายและทางใจ

แต่ก็ยังมีพวกขุนนางอำมาตย์และกลุ่มเผด็จการ (ทั้งเผด็จการหลวง และเผด็จการเอกชน) ! ต่างออกมาคัดค้านกันอึงมี่ กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยนี้แปลกเหลือเกิน ประชาชนเขาพากันหันหน้า “หมอบคลานเข้าหาองค์พระ มหากษัตริย์” กราบขอพระเมตตาเป็นที่พึ่ง ว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประทานความร่มเย็นมาให้ ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่มีทางไหนที่จะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาล

ตรงกันข้าม รัฐบาลพากันต่อต้านอึงมี่ จะอึงมี่เพียงไรคงไม่อาจยับยั้งคนเสื้อแดงได้

คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงสถานีปลายทางแล้ว จะให้ “ถอยกลับ” นะเหรอ...เมินเสียเถอะ ? หรือแม้ว่าจะมี “มือเปรต- มืออสุรกาย” ยื่นออกมาขัดขวาง ก็จะถูกถ่านไฟแดงของคนเสื้อแดง เผาไหม้จนเน่าเปื่อยลงต่อหน้าอย่างแน่นอน

ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ “พสกนิกร” พากันแห่ ขอถวายฎีกา นับว่าเป็นเรื่องวิเศษอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจาก การถวายฎีกาเป็นเครื่องวัดถึงใจของ “คนเสื้อแดง” ยังพากัน รักเคารพและเทิดทูนองค์พระประมุขอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังสะท้อนให้เห็น “ความจงรักภักดี” มิได้เปลี่ยนแปลง แต่ประการใดเลย

ผมอยากจะเปรียบเรื่องนี้กับประเทศรัสเซีย-อิหร่าน และลาว ซึ่งเคยมีกษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่เหมือนประเทศไทย แต่เมื่อเกิดความ ขัดแย้งในระดับ “สถาบัน” ขึ้นมา ไม่ปรากฏว่าประชาชน จะพากันหันหน้าไปขอพึ่งพระบารมี ตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า ทั้งคนรัสเซีย คนอิร่าน และชนชาติลาว ไม่ยอมถวายฎีกาแม้แต่ ฉบับเดียว

ผู้คนในชาติเหล่านั้นต่างพากันหันหลังให้แก่ราชวงศ์ และได้ล้มล้างระบอบการปกครองไม่มีเหลือ

ราชวงศ์โรมานอฟ [Romanov Dynasty] ในประเทศรัสเซียสิ้นไปจากแผ่นดินเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗ (๒๔๖) ราชวงศ์ลาว สิ้นไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) ราชวงศ์อิหร่าน สิ้นไปจากเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (๒๕๒๒) โดยที่ไม่ปรากฏว่า ประชาชนในประเทศเหล่านั้นอยากจะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการ ขอถวายฎีกา

คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา จึงถือได้ว่าเป็นของวิเศษที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก

แต่ก็น่าสังเวชใจเหลือเกิน สิ่งที่ได้พบเห็นได้แก่พวกเผด็จการ “ชาติไทยด้วยกัน” ทำตัวเป็น “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังที่ได้พบเห็นว่า พวกเขาแห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง

วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ ยกเรื่องราวของ ราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายพร้อมกับได้ยกเอาตัวชื่อของประเทศลาว และอิหร่านขึ้นมาอ้างอิงว่า ประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครคิดถึงการ ถวายฎีกา ตรงกันข้าม มีแต่เสียงกู่ตะโกนขับไล่ ฮือเข้าทำร้าย จนราชวงศ์คู่บ้านคู่เมืองมีอันสิ้นสุดลง จนกลายเป็นตำนานล่าขาน ที่ไร้ความหมาย

ไร้ความหมาย...หมายถึงสิ้นแล้วสิ้นเลย
ไม่มีผู้ใดกราบไหว้ ?!

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ เป็นใบปลิว ชิ้นที่มีความสั้นไม่กี่ประโยค แต่ในแต่ละถ้อยคำ ได้กลั่นให้เห็น “ความหมายอันยิ่งใหญ่” ของการถวายฎีกาว่า เป็นมิติแห่งความรัก และความหวัง

ผมอยากให้ “สังคมไทย” ทั้งสังคม โปรดมองการ ถวายฎีกาให้ถึงแก่น แล้วจะมีความอิ่มเอิบที่ซ่อนปนกันอยู่ใน ความเจ็บปวด ที่เกาะกินหัวใจสุดจะพรรณนาได้ การที่พี่น้อง คนไทย “แห่ออกมา” ขอถวายฎีกา ถือเป็นของวิเศษยิ่งนัก

ใครก็ตาม ที่ปฏิเสธการถวายฎีกา และได้ต่อต้านการถวายฎีกา สุดท้ายมันจะกระชากหัวใจประชาชนให้เกิดความรู้สึก อันน่ากลัว ถ้าพวกเขาไม่อยากถวายฎีกาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น กับสถาบันของประเทศไทย !?

จบบทที่ ๓๗ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 36 ศึกษาราชวงศ์รัสเซียล่มสลายด้วยเหตุใด

บทที่ ๓๖ ศึกษาราชวงศ์รัสเซีย ล่มสลายด้วยเหตุใด ?!

ขอแสดงความพึงพอใจที่ท่านผู้อ่านได้ขยันอ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ”มาจนถึงบทที่ ๓๕ ! ผมจึงอยากเรียนให้ท่านได้รับทราบว่า “ผมมี กำลังใจ” ที่จะผลิตงานออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ตราบใดที่ ยังมีกำลังวังชาพอทำงานไหว ก็หวังว่าใบปลิวกู้ชาติทุกฉบับจะสามารถ ทำความเข้าใจต่อปัญหาความขัดข้องทางการเมืองในประเทศไทยของเรา รวมไปถึงจะได้เข้าใจสภาพความเป็นจริงที่พวกเรากำลังเผชิญปัญหา กับพวกเผด็จการ

ใบปลิวกู้ชาติบทนี้อยู่ในห้วงวันที่ ๑๕ สิงหาคม/๕๒ ที่ คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม/๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา หรือจะถูก พวก “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่างๆดังที่ได้พบเห็นว่าพวกเขา แห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง

วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖ ว่าด้วยเรื่องราว ของราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายไป “โดยที่คนไทยไม่มีใครหยิบยก เอาเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาเพื่อการเรียนรู้เลย” คนไทยจึงไม่ทราบต้นสาย ปลายเหตุที่แท้จริง ส่วนใหญ่จะพากันเข้าใจว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครองของรัสเซีย แล้วก็พากันเข้าใจ สืบต่อกันมาจนถึงวันนี้ว่า ราชวงศ์รัสเซียถูกคอมมิวนิสต์ทำลาย ?! จนไม่มีอะไรเหลือ

ไม่มีใครกล่าวถึง “ความชั่วช้า” ที่พวกอำมาตย์ใหญ่ในรัสเซีย ปอกลอกพระเจ้าแผ่นดินและพากัน “พินพพิเนา” เพ็จทูลถ้วยลีลา ของพวกอำมาตย์เลวทั้งหลาย ทำให้พระราชวงศ์ที่สวยสดงดมาด้วย ระยะเวลาอันยาวนาน กลายเป็น “ซาตาน” ที่น่าขยะแยงขึ้นมา

ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกล่าวว่าในหนังสือประวัติศาสตร์โลก ต่างพากัน “บิดเบือน” ความเป็นจริง ทั้งนี้เนื่องจาก “ทุนนิยมใหญ่” เกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงมุ่งเข้าหาเนื้อในของลัทธิคอมมิวนิสต์ แล้วดึงเอาเนื้อในมาเป็น “แก่นแกน” ในการเขียนประวัติศาสตร์ด้วยการ “ทิ้ง” เนื้อหาความผิดพลาดของพระมหากษัตริย์รัสเซียไปจนสิ้น เช่นพระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๒ (ปี ค.ศ. ๑๘๘๕๕-๑๘๘๑) พระจักรพรรดิ์อาเล็กซานเดอร์ที่ ๓ (๑๘๘๑-๑๘๙๔) และพระจักรพรรค นิโคลัสที่ ๒ (๑๘๙๔ – ๑๙๑๗) อันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจาก พวกอำมาตย์ใหญ่พากัน “บีบคั้น”ประชาชน ทำให้ประชาชน ได้รับความบอบช้ำแสนสาหัส

จนกลายเป็นต้นเหตุทำให้ “วี.ไอ. เลนิน” นำแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ เอาขึ้นมาเป็นทฤษฎีชี้นำประเทศใหม่ ทั้งในทางเศรษฐกิจ การเมือง และระบอบการปกครอง !

นักประวัติศาสตร์บิดเบือนความจริงที่เกิดตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๕๕ มาจนถึง ค.ศ. ๑๙๑๗ ทำให้ชาวโลกไม่รู้ความจริง แต่กลับไปรู้อยู่เรื่อง เดียวว่าคอมมิวนิสต์คือตัวการใหญ่ล้มล้างระบอบการปกครองของ ประเทศรัสเซีย

ผมเกิดความรู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศรัสเซีย ครั้งกระโน้น ซึ่งบัดนี้กำลังเพาะตัวขึ้นในพระราชอาณาจักรไทย โดยพวก “อำมาตย์” ที่โง่เง่าเอาแต่จะกอบโกยไม่รู้จักอิ่ม เมื่อกอบโกยไม่สะดวกก็พากันเล่นงานคู่แข่งทางการเมือง (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร)! กล่าวหาทักษิณว่าเป็นคนชั่วร้าย ของสถาบัน พร้อมกับได้ยกย่อง “คนเสื้อเหลือง” ว่าเป็นผู้ที่มีความ จงรักภักดีสูงส่ง ส่วนคนเสื้อแดงที่เข้าข้างทักษิณต่างตกเป็นเหยื่อ ถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” สุดท้ายกลายเป็นพวกที่เป็นภัย ต่อระบอบการปกครองดังที่ทุกท่านต่างพากันทราบดี

เป็นเพราะเหตุนี้ผมจึงอยากเขียนถึงสภาวะที่เป็นจริงในรัสเซีย เอามาเป็นตัวอย่างให้สังคมไทยได้ลืมตา “ดู” ความจริง ก่อนที่มัน จะสายเกินไป

อีกประการหนึ่ง ผมมีความเห็นว่า “ถ้า” ประเทศไทย “ไม่ได้ ปกครอง” ด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข เราจะไม่ศึกษาปัญหาราชวงศ์รัสเซียเลยแม้แต่แง่มุมเดียว “ก็ไม่เป็นไร” !

และไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องนี้เอามาเป็นตัวอย่าง แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย อันมี “กษัตริย์” ทรงเป็นองค์ประมุข จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษา หาทางเรียนรู้ปัญหาที่แท้จริงให้ครบทุกด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้นำเอาสิ่ง ที่ได้รู้ได้เข้าใจทั้งหลายเหล่านั้นเอามาเป็นแนวทางแก้ไขตัวเองเสีย ในวันนี้ ไม่ปล่อยให้สายเกินแก้

ก่อนที่ผมจะเริ่มชี้แจงแถลงไขเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอเรียนว่า บรรยากาศของประเทศไทยในวันนี้มีลักษณะเหมือนคน “ใบ้กิน” ?! กล่าวคือไม่มีใครพูดความจริง ทำให้ปากของคนไทยที่พอจะพูดได้ใน หมู่ชนชั้นสูงทุกระดับกลายเป็นคน พูดอะไรไม่ได้ จนกลาย “เป็นคน ใบ้” ไปทั้งเมือง ทำราวกับว่าประเทศนี้เมืองนี้มีแต่คนชื่อทักษิณเท่านั้น ที่เป็นตัวอันตรายต่อประเทศ

ผมจึงเรียกคนเหล่านั้น พวกใบ้กิน ?!!

ผมจะยกตัวอย่าง “คนใบ้” ในเมืองไทยให้ท่านดู ท่านจะเห็น ภาพของเรื่องนี้อย่างชัดเจนจากกรณี พันธมิตร เอาม็อบยึดสะพานมัฆวาน ก็ไม่มีใครตำหนิ เอานักรบศรีวิชัยบุกทำลายสถานีโทรทัศน์ NBT ก็ไม่มีใครกล้าเล่นงาน พันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาล ๑๙๓ วัน แล้วกระทำบัดสี พากัน“อุจจาระใส่เก้าอี้นายก” แถมพากันถ่าย ของเหม็นใส่ห้องโถงเพื่อแสดงอาการเหยียบหยามให้มันสะใจ “ก็ไม่มีสื่อฉบับไหนกล้าเขียนถึง” ?!

มิใช่แต่เท่านี้ พวก "พันธมิตร” ยกกองทัพธรรมยึดสนามบิน ดอนเมือง ฆ่าคนตายยัดใส่โกดัง ราวกับว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ก็ไม่มี ใครกล้าโวย ต่อจากนั้นพวกพันธมิตรพากันบุกไปยึดสนามบิน สุวรรณภูมิ พากันโจรกรรมของมีค่าไปจาก “ดิวตี้ ฟรี” [Duty Free] เรียกว่าขนเป็นคันรถ ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง

พวกเขาทำความชั่วอีกมากมาย เช่นทุบตีตำรวจราชาเทวะ จับถอดเครื่องแบบ บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก รวมไปถึง “น้องโบว์” ตายด้วยระเบิดของตัวเองแท้ๆ ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็น ผู้ปกป้องสถาบัน ?! แถมมี “นายตำรวจ” ขนระเบิดจะเอาไปฆ่าคนอื่น แต่มันพลาดขึ้นมาอย่างร้ายแรง ระเบิดใส่ตัวเองแหลกละเอียด ตายเป็นผี สังเวยบาป อย่างนี้เป็นต้นก็ยังพากันยกย่อง

ผมจึงสังเกตเห็นชัดว่า คนไทยกลุ่มคนเสื้อเหลือง พวกกองทัพธรรม สันติอโศก พวกนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการ กลุ่มนายทหารใหญ่ และอำมาตย์ใหญ่ สื่อใหญ่ และ พวกองคมนตรี ฯลฯ ต่างพากัน“ใบ้กิน”ไปทั้งเมือง

เรียกว่าใบ้รับประทานอย่างน่าอัศจรรย์ใจที่สุด

แต่สำหรับคนเสื้อแดงนั้น หากทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา จะถูก พวกคนใบ้ระเบิดเข้าใส่อย่างสนั่นหวั่นไหว “เช่นนายสมัคร สุนทรเวช ทำครัวออกทีวีก็ถูกให้ออกจากนายก” มิใช่แต่เท่านี้ แม้คนเสื้อแดง ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังถูกใส่ความให้ได้รับความเจ็บปวดใจอย่าง แสนสาหัส ทำราวกับว่าคนเสื้อแดงมิใช่คนไทยด้วยกัน

ท่านผู้อ่านครับ ท่านไม่สงสัยเลยเชียวหรือว่าเหตุไร จึงเป็น เช่นนี้ไปได้ ?

ผมมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ทุกสถาบันจะต้องช่วยกัน แสวงหาหนทางแก้ปัญหาให้แก่ประเทศชาติ แต่การแสวงหาแนวทาง

แก้ปัญหานั้น ประการสำคัญจะต้องยอมรับความเป็นจริงทั้งหมด ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย แล้วยกเอาความจริงเหล่านั้นมาเป็น “โจทย์” ของประเทศ เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาของประเทศได้ อย่างถูกต้อง

ประการต่อมา ต้องหยิบยกเอาปัญหาที่เป็นต้นเหตุทำให้ “ราชวงศ์” ต่างๆในโลกจากหลายประเทศที่ถูกประชาชนโค่นล้ม และถูกทำลายไป เอามาเป็นข้อมูล เช่นการล่มสลายของราชวงศ์ “โรมานอฟ” [Romanov Dynasty] ของประเทศรัสเซีย รวมไปถึงการล่มสลายของกษัตริย์ “โมฮัมหมัด เรชา ปาเลวี” แห่งอิหร่าน เป็นต้น

ผมขอเรียนให้ทราบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศอิหร่าน ย่อมไม่พ้นไปจาก “การกระทำ”ของพวกอำมาตย์ชั่ว ซึ่งมีทั้งพวกที่ เป็นเหยื่อของ “ซีไอเอ” และ “เคจีบี” [CIA –KGB] ที่ ต่างพากันมุ่งหวังจะเข้าไปตะครุบผลประโยชน์มหาศาลจากดินแดน อิหร่าน

อำมาตย์ชั่วและอำมาตย์เลวต่างพากันรับใช้ต่างชาติ เข่นฆ่าราวี ประชาชนของตนเอง เช่น มีการ “อุ้มหาย” อุ้มฆ่า และลอบสังหาร อย่างป่าเถื่อน

ในห้วงเวลานั้น ผมทำงานอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย แล้วย้ายเข้าไปทำงานในอิรัค ต่อมาเมื่อได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ในประเทศอิหร่าน ผมขยับออกมาทำงานอยู่ในกรุงอัมมาน ประเทศ จอร์แดน ซึ่งมีกษัตริย์เหมือนประเทศไทย

ผมได้รับฟังเรื่องราวอันเป็นความทุกข์แสนสาหัสของประชาชน ชาวอิหร่านอันเกิดจากการกระทำอันแสนชั่วของอำมาตย์ จนทำให้ ประชาชนต้องหันไปขอคำแนะนำจากท่านอิหม่ามใหญ่ ได้แก่ “อะยาตอลลา โคไมนี” (อะยาตอลลา คือฐานะคล้ายพระศาสดาน้อย ผู้รับโองการจากพระเจ้าเอามาดูแลพระศาสนา) ซึ่งประชาชนถือเป็นที่พึ่ง ทางใจในฐานะเป็นอิสลาม

นี้ก็เช่นเดียวกัน ประวัติศาสตร์ได้เขียนเอาไว้ว่า โคไมนีมักใหญ่ ไฝ่สูง ต้องการนำลัทธิ “เทวะวิทยาธิปไตย” [Theocracy] ในแนวศาสนาอิสลามเอามาปกครองประเทศ เช่นเดียวกับ องค์ ดาไล ลามะ ปกครองธิเบต เป็นต้น

พวกที่เขียนประวัติศาสตร์ ได้ละทิ้งความชั่ว (ที่แท้จริง)ไปจนสิ้น

นั้นก็คือไม่กล่าวถึงการกระทำอันชั่วร้ายของอำมาตย์

ผมได้สอบถามด้วยปากของผมเองว่า ทำไมท่านโคไมนี จึงกระทำกับพระมหากษัตริย์ของตนเองอย่างไม่ยำเกรงใด ๆ เลย ผมได้รับคำตอบจากปากของคนอิหร่านเองว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ ของเราไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อน เราไม่จำเป็นต้องหันหน้าไปพึ่ง โคไมนี

อีกประการหนึ่ง ผมได้รับคำตอบว่า คนที่จะกู้คืนชีวิตคนอิหร่าน ให้กลับสู่ความสงบสุข มีคนกล้าอยู่คนเดียว คือ “อะยาตอลลา โคไมนี” เมื่อท่านโคไมนีกล้าหาญที่จะสู้กับความตายที่พวกอำมาตย์พร้อมที่จะ เข่นฆ่า โดยที่ท่านมิได้หวาดหวั่นเลย

พวกเราจึงถือท่านเป็นที่พึ่ง !

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอกราบเรียนว่า ความเห็นของผม ทั้งที่ เขียนและพูดในโลกไซเบอร์ อาจจะแตกต่างจากเอกสารที่ท่านหาอ่าน ได้ในเว็ปทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากผมเก็บข้อมูลที่ผมรับมาด้วยตนเอง เอามาเป็น “วัตถุดิบ” เพื่อการนำเสนอ

ความเห็นของผมจึงแตกต่างจากเอกสารทั้งหลายอย่างยิ่ง

ความเห็นที่ได้ถ่ายทอดออกมาในวันนี้ เป็นความเห็นที่ผม ตั้งใจอยากให้ กอ.รมน. และสภาความมั่นคงได้พากันอ่าน รวมทั้ง อยากให้ “อำมาตย์-น้อยใหญ่” ได้พบเห็นแนวความคิดที่แตกต่าง จากข้อมูลจอมปลอมจากสายข่าว (สันติบาลและสายลับ) ที่พวกท่าน ส่งออกไปทำงาน

ผมขอมอบ “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๖” ให้แก่แผ่นดิน สุดแต่ผู้คนในแผ่นดินจะรับเอาไปพิจารณาหรือไม่/หรืออย่างไร ไม่อาจทราบเลยขอรับ ? และ..ผมก็ไม่อาจทราบได้เลยว่าตัวอย่าง จากรัสเซียเรื่องนี้ จะสามารถเข้าถึง “มิติ” อันลี้ลับที่กำลังกัดกิน สังคมไทยได้หรือไม่ ?!!

จบบทที่ ๓๖ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 35 ถวายฏีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด

บทที่ ๓๕ ตอน : ถวายฎีกา ต้องบังคับให้ออกหัว ถ้าไม่ยอมจะเกิดนองเลือด ?!

ผมต้องกราบขอโทษท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” อย่างแรง ที่หยุดพัก โดยไม่ลา

ผมขอเรียนว่าผมไม่ได้หยุดพักเลยขอรับ แต่มีภารกิจรัดแน่นจนหาเวลา ปลีกตัวไม่ได้ เนื่องจากต้องตามไปดูการชุมนุมของคนเสื้อแดงไกลจากโต๊ะทำงาน โดยไม่ได้หิ้วโน้ทบู๊คส์ไปด้วยทำให้ผมไม่สามารถผลิตงานแม้แต่ชิ้นเดียว

บทที่ ๓๔ คงจะทำให้ท่านเข้าใจเรื่องราวที่ผมเขียนถึงพี่น้อง “ต่างด้าว” ที่เข้ามาอยู่ในประเทศว่าเป็นต้นเหตุทำให้พวก “ขุนศึก” ติดนิสัยขูดรีดจนเคยตัว แล้วก็เลยขึ้นไปถึงพวกศักดินาที่เอาแต่เปิบผลประโยชน์เข้าพกเข้าห่อด้วยความ ลุ่มหลง จนลืมไปว่าชนชั้นของตัวเองได้กลายเป็นพวกอนุรักษ์นิยมหัวโบราณ ที่อาศัยเผด็จการเป็นรังนอนอย่างยาวนาน สุดท้ายมันได้ทำให้ประเทศไทย ทั้งประเทศตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ดังที่คนทราบดี

วันนี้ (๑๑ สิงหาคม/๕๒) ผมขอเสนอท่านด้วยใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ดังนี้

ขอเริ่มว่าสภาวะของวงจรอุบาทว์ได้ทำให้ “คนอุบาทว์” เกิดขึ้นมาในชาติ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่คิดอิจฉาริษยา หรือไม่ก็อาจจะอาศัย “ความอุบาทว์” บ่อนทำลายความมั่นคงสถาบันของชาติถึง ๒ สถาบัน อันได้แก่สถาบันศาสนา (พุทธ) และสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่อุบาทว์คือพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป) และพวกอำมาตย์ใหญ่หลายคน

ข้อวินิจฉัยว่าทำไมจึงเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์และอำมาตย์ใหญ่หลายคน พากันบ่อนทำลายความมั่นคง ก็ต้อง “วิสัชนา” ว่าเชื่อมาจากการกระทำให้คน ในชาติเกิดความขัดแย้งกัน ทำให้เกลียดชังกัน ดังจะเห็นได้จากการ “กล่าวหา” คนใดคนหนึ่งว่าเป็นคนไม่รักพระเจ้าแผ่นดินแล้วกล่าวหาเลยไปถึงขั้นว่าคนผู้นั้น มันคิดจะเป็นประธานาธิบดี

ข้อกล่าวหาเช่นนี้ มองแบบปกติวิสัยมันเป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสี

แต่ถ้ามองให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้มันหมายถึงการวางแผนก่อวินาศกรรม สังคมไทยทั้งสังคมให้เกิดความขัดแย้งกัน และวิธีที่จะทำให้สังคมไทยทั้งสังคม เกิดความขัดแย้งกันได้ก็มีอยู่ทางเดียว นั้นก็คือการแยก “ความรัก” ที่มีต่อ พระเจ้าแผ่นดินให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา

คนพวกหนึ่งโยนโครมลงไปว่า “ไอ้หมอนั่นมันไม่รักเจ้า” แล้วพากัน โห่ร้องขึ้นมาว่า มีแต่พวกของตนเท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร การกระทำ ของคนพวกนั้นมีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ ถึงขั้นขึ้นป้าย “ปกป้องสถาบัน” กระจายไปทั่วทุกจังหวัด

ป้ายปกป้องสถาบันอันใหญ่โต รวมไปถึงป้ายอื่น ๆ ที่กำลังติดตั้งอยู่บน แผงโฆษณาทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ดังที่ผมได้พบเห็นมาตั้งแต่เดือนเมษายน มาจนถึงเดือนสิงหาคม/๕๒ มันไม่ได้ทำให้คนไทยหันหน้าเข้าหากัน ตรงกันข้าม มันยิ่งทำให้แตกแยกกันมากขึ้น ป้ายพวกนี้จึงกลายเป็นป้ายทำลายความมั่นคง ทำให้เกิดสภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก กล่าวคือจะปลดออกก็จะกลายเป็นความ พ่ายแพ้ ครั้นคงเอาไว้ก็จะทำลายความสามัคคี

ความอุบาทว์ของคนพวกนั้นได้เดินทางมาไกลสุดไม่อาจดึงให้ถอยหลังได้ ตรงกันข้ามยิ่งนานวันยิ่งตอกลิ่มว่าคนที่ชั่วมีอยู่คนเดียวคือ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อพวกเขาลงมติยืนกระต่ายขาเดียวเช่นนี้ ได้ทำให้ประชาชน “ครึ่งค่อน” ประเทศ เต็มใจที่จะเป็นคนชั่วตามทักษิณไปด้วย

ครั้นประชาชนพากันยืนกรานอยู่เคียงข้างทักษิณ แทนที่จะหาทาง “ปรองดอง” เพื่อจะได้ระงับข้อพิพาท กลับพากัน “ยัดเยียด” ความเลวร้ายให้ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น

โดยมิพักสงสัย ผมจึงกล้าที่จะกล่าวอย่างไม่ลังเลว่าเจตนาอันแท้จริง ของคนพวกนั้น ได้แก่ความคิดอันชั่วร้าย ใช้ความอุบาทว์เป็นเครื่องมือ “วางแผน ล้มเจ้า” อย่างแนบเนียนที่สุดต่างหาก หาใช่เป็นการทำเพื่อให้เกิดความมั่นคง แต่ประการใดไม่

ที่ว่าแนบเนียนนั้นนับว่าชัดเจนมาก เนื่องจากประดา “ชนชั้นสูง” แห่ไป สนับสนุนพวกที่ทำอุบาทว์ด้วยการกล่าวประณาม พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร หนักหน้าขึ้นกว่าเดิม อันเป็นการเพิ่มกระแสความร้อนแรงให้คุกรุ่น รอแต่ว่ามัน จะระเบิดเปรี้ยงขึ้นมาในวันไหน

ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกราบเรียนว่าขณะเขียนบทความนี้บทที่ ๓๕ อยู่นี้ ก็มีข่าวจากวงในว่าทหารน้อยใหญ่กำลังวางแผนจะใช้มาตรการ “รุนแรง”ปราบปรามคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้หลายวัน (ประมาณวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๒) ตำรวจ-ทหาร ประมาณ ๕,๐๐๐ นาย ซ้อมปราบจลาจลที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๔.๐๐ น.

นายศดิศ ใจเที่ยง ประธานชมรมคนแท็กซี่สุวรรณภูมิแจ้งกับผมว่า เขาเตรียมการใหญ่เพื่อจะปราบปรามคนเสื้อแดง นอกจากนี้ยังมีการ “เตรียมพร้อม” ทั้งในกองทัพและกองบัญชาการ ทำราวกับว่า การปราบปรามนั้นจะช่วยให้ สถานการณ์ดีขึ้น

เปล่าเลย...ผมว่ามันไม่มีทางดีขึ้น ตรงกันข้าม มันยิ่งจะเลวร้ายลง ข่าวมิได้มีเพียงแค่การเตรียมกำลังเอาไว้ปราบปรามเท่านั้น ยังร้ายแรงถึงขั้น จะทำการยึดอำนาจการปกครองอีกครั้ง โดยพากันกล่าวว่าถ้าทหารยึดอำนาจครั้งนี้ จะจัดระเบียบประเทศใหม่จะไม่ให้มีเหลือง น้ำเงิน และคนเสื้อแดง หลงเหลืออยู่ ต่อไป

ผมรับฟังข่าวมาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ทว่า...แม้จะไม่เชื่อก็ตามที แต่วันนี้คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงจุดถวายฎีกา อย่างไม่มีทางเลี่ยงแล้วพระคุณท่าน ไม่ว่ารัฐบาลจะวิ่งขวางเพียงไรก็ไม่อาจระงับ ยับตั้ง “การยื่นถวายฎีกา” ได้เลย ตรงกันข้าม ยิ่งรัฐบาลแห่ออกไปขวาง ยิ่งเร่ง ให้มวลมหาประชาชนรวมตัวกับคนเสื้อแดงมากมายยิ่งขึ้น

มีคำถามว่าเหตุไรจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ คำตอบก็คือ พวกอำมาตย์เป็นคนอุบาทว์ นักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่เข้าใจคำว่าอุบาทว์ ตลอดทั้งคนในแวดวง “ชนชั้นสูง” พากันตกเป็นเหยื่อของ คนอุบาทว์ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็น “ม่านบังตา” ให้มืดบอด มองอะไรไม่เห็น

เมื่อมองไม่เห็นก็ย่อมจะตกลงไปในหลุมพรางที่พวกอุบาทว์ขุดเอาไว้ ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมขอกล่าวว่าคนอุบาทว์ในประเทศไทยมีอยู่หลายกลุ่ม ผมจะนำเอาความจริงมาเล่าให้ฟังว่าพวกที่เป็น “ตัวการ” สนับสนุนการแบ่ง แยกดินแดน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) เป็นบุคคล กลุ่มแรกที่วางแผนให้คนไทยตีกัน

คนกลุ่มนี้ก็คือคนไทยขนานแท้ที่มีตำแหน่งการงานในวงราชการ มียศถาบรรดาศักดิ์ มีอำนาจทางการเมือง ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนกลุ่มนี้ไมได้แสดงออกว่าสนับสนุนการก่อการร้าย ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชี ของโจรพูโล [PULO]อำพรางว่าไม่สนับสนุนโจรพูโล

คนกลุ่มนี้แหละได้วางแผนที่จะบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศไทย อีกด้านหนึ่งด้วยการร่วมทำงานยุให้คนไทยแตกแยกกัน ถ้าสามารถทำให้คนไทย แตกแยกกันได้ ก็จะทำให้การแบ่งแยกดินแดนง่ายดายขึ้น (ข้อมูลดังกล่าวนี้ ผมกับ “คีย์แมนโทน” ร่วมกันวิเคราะห์หลายปี) !

คนอีกพวกหนึ่งได้แก่ “สันติอโศก” ที่ต้องการเผยแพร่พระพุทธศาสนา แนวใหม่ ต้องการล้มล้างหลักการของคณะสงฆ์ทั้งหมด ซึ่งคณะสงฆ์ก็ตระหนักดี คนกลุ่มนี้ได้ตั้งกองทัพธรรมขึ้นมาเพื่อจะใช้เป็นเครื่องมือรบกวนสังคมให้ปั่นป่วน แล้วใช้เวทีของม็อบป่าวประกาศให้คนได้ยินไปจนทั่วว่าคนนั้นเป็นภัยของพระเจ้า แผ่นดิน คนนี้ (พวกสันติอโศกและพันธมิตร) เท่านั้นที่รักพระเจ้าแผ่นดินมากกว่าใคร

ดังตัวอย่าง “น้องโบว์” ตายคนเดียว (ถูกระเบิดของตัวเอง) ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นผู้ปกป้องสถาบัน รวมทั้งการตายของ“นายตำรวจ”ที่ขับรถบรรทุกระเบิด เอามาจอดไว้ที่หน้าพรรคชาติไทย วางแผนผิดพลาด เกิดระเบิดใส่ตัวเองตาย ยังได้รับพระราชทานเพลิงศพ

ลืมไปว่าทหารตำรวจที่ตายในสนามรบมีมากมาย นี้คือตัวอย่างของคนอุบาทว์ ยังมีอีกขอรับ อันได้แก่พวกที่เกลียดชังเจ้า แต่ตัวเองรับใช้อยู่ใกล้สถาบัน ไม่กล้าแสดงออกว่าตัวเองไม่ชอบสถาบัน ได้กระทำบ่อนทำลายคนที่รักชาติ อย่างเอาเป็นเอาตาย ดังจะเห็นได้จากการ กระทำของ“องคมนตรี” บางคน ล้วนแต่เข้าข่ายพวกอุบาทว์ทั้งสิ้น

เรื่องราวทั้งหลายที่ผมกล่าวมา เราจะสามารถอ่านลึกเข้าไปในความลี้ลับได้ โดยไม่ยากว่าคนที่ต้องการให้บ้านเมืองปั่นป่วนนั้น มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่

แต่ก็น่าแปลกเหลือเกิน ผมเขียนเยี่ยงนี้ติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า ๕ ปี ไม่เคยได้รับการสอบถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมกล่าวหา “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ว่าเป็นตัวการล้มล้างระบอบการปกครอง ก็ไม่เคยมีใครเชื่อถือ นอกจากไม่เชื่อถือ ในคำพูดของผม ยังตำหนิผมเสียด้วยว่าบ้าไปหรือเปล่า

ผมบอกว่าผมไม่บ้า ผมบอกว่า สักวันหนึ่ง ความจริงจะปรากฏ แล้ววันนั้นก็มาถึง...

วันนี้ไง...วันของคนเสื้อแดงไม่มีที่พึ่ง ต่างพากันมุ่งหน้าสู่ระบรมมหาราชวัง พากันทูลเกล้าถวายฎีกา เพื่อจะขอพึ่งพระมหากรุณาธิคุณให้ทรงปลดปล่อยความทุกข์ ออกจากใจของพวกเขา คนเสื้อแดงไม่น้อยกว่า ๕ ล้านคน พากันลงชื่อขอถวายฎีกา

ยังจะมีคนเสื้อแดงอีกนับล้าน ที่ลงชื่อสนับสนุน ท่านผู้อ่านครับ ผมไปที่ท้องสนามหลวง ไปที่อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และไปที่พัทยา ในขณะคณะของ นปช. แห่ไปอุดร เชียงใหม่ และอีกหลายจังหวัด ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนแต่ได้ยินเสียงเรียกร้องขอความยุติธรรม และความเป็นธรรม

วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! จึงเป็นวันของความขัดแย้งที่ทะลุขึ้นสู่ ยอดปราสาทพระบรมมหาราชวังอย่างไม่มีทางไหนที่จะยับยั้งเอาไว้ได้ ตรงกันข้าม หากมีการ “ยับยั้ง” ยิ่งจะเร่งให้เกิดความวุ่นวายและจะบ่ายหน้าไปสู่ความเลวร้าย

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ถ้าท่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติในบทก่อนๆ ท่านจะทราบดี ว่าบ้านเมืองมาถึงจุดนี้แล้ว จะดึงถอยหลังกลับแบบปกติธรรมดาย่อมเป็นไปไม่ได้เลย แล้วผมก็ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผู้ให้” อันหมายถึงรัฐบาลต่างหาก ที่จะจัดการให้ สถานการณ์อยู่ในสภาพไหน

ถ้ารับฟังกันแต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงอย่างนุ่มนวล หากพากันต่อต้านก็จะเกิดความรุนแรง ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๕ ก็ยังคงยืนยันในหลักการเดิม ผมยังคงปรารถนาอยากให้พวกอำมาตย์รีบหันหน้ามาปรองดองกับคนเสื้อแดง หันหน้ามาแก้วิกฤติ ของชาติ แก้รัฐธรรมนูญ แก้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเป็นอุปสรรคต่อระบอบระชาธิปไตย

แล้วเอาคนชื่อทักษิณ กลับมา ทักษิณได้กลับประเทศไทย จะทำให้คนไทยมองหน้ากันติด ต่อไปก็จะ หาทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง เมื่อแก้ได้สำเร็จภายในเวลาอันไม่นาน ก็จะทำให้สังคมไทยค่อยเขยิบขึ้นและดีขึ้นในที่สุด

สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นสถานการณ์หมิ่นเหม่ต่อประเทศชาติมันอาจจะเกิด การทุบตีกันขึ้นจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง มันมีเหตุอีกหลายประเด็นที่จะทำให้ คนไทยรังแต่จะทุบตีกัน หากเป็นเช่นนี้ก็อย่าหวังว่าจะสามารถสร้างให้ชาติปรองดอง กันได้ จึงเหลืออยู่ช่องเดียวคือให้ยอมรับหนังสือถวายฎีกา บังคับให้ออกหัว

ถ้าไม่ ยอม มันจะเกิดการนองเลือด ?!!

จบบทที่ 35 สอาด จันทร์ดี

บทที่ 34 คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ

บทที่ ๓๔ ตอน : คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ ?!

ขอสวัสดีท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและคนไทย ที่ท่องเที่ยวหรือไปปักหลักอยู่ในหลายประเทศบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ..ขอสวัสดีอีกครั้งขอรับ

ผมได้เขียน “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ ผ่านสายตาของท่านไป ด้วยท่าทีลีลาในทำนองว่าคนต่างด้าวในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวเชื้อสายจีน “เป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดลัทธิ เผด็จการขึ้นในประเทศไทย” จนกลายเป็นปัญหาของชาตินั้น ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเขียนอธิบายขยายความให้กระจ่าง และตรงตามความเป็นจริง เพื่อที่พี่น้องร่วมชาติ “ที่เป็นคนไทย” ทั้งมวลจะได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมาช่วยกันทำลาย ธาตุเผด็จการให้มันหมดไป

ก่อนอื่นต้องกล่าวให้ตรงความจริงทุกประการว่า ในอดีตมา จนถึงปัจจุบัน คนต่างด้าวเชื้อสายจีนได้ “อพยพ” หลั่งไหลมา จากผืนแผ่นดินใหญ่นับเป็นล้าน ๆ คน โดยที่คนไทยขนานแท้และ ดั้งเดิมมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่รายเดียว

ไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าแม้ในปัจจุบันก็ไม่เคยมีคนไทย ดั้งเดิมคนไหนพากันต่อต้านการเข้ามาของคนต่างด้าว จึงสรุปได้ว่า “ในอดีต” ก็ไม่เคยมีการขัดขวางการเข้ามาของคนต่างด้าว นอกจากจะไม่มีการขัดขวางดังกล่าว กลับปรากฏว่า “คนไทย” พากันต้อนรับ “คนต่างด้าว” ด้วยมิตรไมตรีอย่างยิ่ง เช่นไม่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหายใด ๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นโชคของคนต่างด้าวจากทุกเชื้อ ชาติที่ได้เข้ามาอาศัยใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอย่างมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความ ก้าวหน้าในธุรกิจการงานอย่างยิ่งใหญ่ จนกล่าวได้ว่าแม้จะพากัน หนีความยากจนมาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ก็ยังพากันเป็น “เศรษฐี- มหาเศรษฐี” ในประเทศไทยได้เกินกว่าจะบรรยาย

เมื่อผมได้นำเอาความจริงเล็กน้อยมาเขียนขึ้นอย่างนี้

ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๓ และกำลังอ่านมาถึง บทที่ ๓๔ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีหรือว่าจะกลายเป็น ความเห็นที่น่าเกลียดชัง ที่ผมนำเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน ?

ผมคิดของผมว่า “ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือตอบโต้” ก็จะขอ กราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันเสนอความรู้ความเข้าใจบนตะเข็บของประวัติศาสตร์ ที่ตรงตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ

ก่อนจะบรรยายต่อไป ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ ที่มีอยู่ในสังคมไทยแบบผู้ได้ อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น อันได้แก่ :
(๑) อภิสิทธิ์ชนนายทุนชั่ว
(๒) อภิสิทธิ์ชนขุนศึกชั่ว
(๓) อภิสิทธิ์ชนศักดินาชั่ว

มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดมาจากรากเหง้าของ “อภิสิทธิ์ชน”กล่าวคือรากฐานของ อำนาจเถื่อนทั้งปวง เกิดขึ้นมาเพื่อการถือ “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่น เมื่อพวกเขาสามารถถืออภิสิทธิ์เหนือคนอื่นได้มากมายและขยายวง กว้างออกไป ท้ายสุดมันได้กลายเป็นระบอบเผด็จการ

คำว่า “เผด็จการ” หมายถึงการกระทำต่อคนอื่นด้วยความ ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบากทั้งทางกายและทางใจ ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้สภาวะที่ถูกกดขี่ขูดรีดแสนสาหัส อันเป็น การกระทำต่อคนอื่นเอาตามใจชอบ โดยมี “อำนาจเถื่อน” ให้การ คุ้มกันและสนับสนุน จึงเรียกการกระทำเยี่ยงนั้นว่าเผด็จการ

เมื่อกล่าวเช่นนี้กับคนต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศ ไทย โดยเฉพาะได้แก่พี่น้องต่างด้าวเชื้อสายจีนนั้น ล้วนแต่ “ได้ ผ่าน” ระบอบเผด็จการในประเทศของตนมาแล้วทั้งสิ้น จึงมีความ รู้ความเข้าใจว่าถ้าจะให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยในประเทศไทยได้ อย่างไร เมื่อรู้วิธีการจึงใช้แนวทาง การ “ส่งส่วย” เอามาเป็น เครื่องมือ พวกเขายอมจ่ายค่าคุ้มครอง และการทำตัวเป็น ผู้ปกครองง่าย

ด้วยเหตุนี้พวกพี่น้องคนต่างด้าวจึงสามารถเจริญงอกงาม ขึ้นในประเทศไทย

ประเทศไทยในยุคต้น ยังไม่มี “ระบอบนายทุน” เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ชาวนาและชาวสวน

คนไทยสมัย โบราณจึงมีอยู่เพียง ๒ กลุ่ม คือ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย”

คนไทย ๒ กลุ่มนี้ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง รักษา พระราชอาณาจักร ได้อาณาเขตพื้นที่มากกว่า ๑ ล้านตารางกิโลเมตร (ปัจจุบันเหลืออยู่ ๕๑๒,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร) !

เมื่อคนต่างด้าว (คนจีน) หลั่งไหลเข้าประเทศไทย ไม่ช้าไม่นานคนจีนเหล่านั้นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น พี่น้อง “คนจีน” ได้กลายเป็นผู้เกาะกุมระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง จึงได้ทำให้ประเทศไทยมีระบอบ “ทุนนิยม” เกิดขึ้นมา แล้วได้ เปลี่ยนฐานะ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย” มาเป็น “ขุนศึก – ศักดินา” ตามลำดับ

กล่าวตามความเป็นจริง รากฐานของเผด็จการมิได้เกิด จากนิสัยคนจีน แต่มันเกิดมาจากพวก “เจ้านาย” ในประเทศไทย ไม่มีความรักชาติ ไม่มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เอา ใจชาวบ้านมาใส่ใจตน พวกเขาใช้งาน “บ่าวไพร่” จนเคยตัว ได้รับผลประโยชน์จากการเป็นผู้บังคับเอาจนติดสันดาน

เมื่อมี “คนต่างด้าว” หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงเป็นการง่าย เหลืออเกินที่จะขูดรีดอย่างสนุกสนาน อยากได้อะไรก็จะบังคับเอา ตามใจชอบ คนต่างด้าวที่ชาญฉลาดจึงรีบประเคน ให้...ให้...ให้... แบบสุดลิ่มทิ่มประตู อันเป็นการให้ที่เกิดจากภาวะ “จำยอม” !

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เต็มปากว่า สันดานของ “ขุนศึก” และสันดานของพวกศักดินา เช่นคุณหลวง คุณพระ ท่านเจ้าคุณ และเจ้าพระยา เป็นสันดานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้โดยพากันกระทำ แบบเผด็จการทั้งต่อประชาชนของตนเอง และกระทำต่อคนต่างด้าว

เมื่อกระทำต่อคนต่างด้าว คนต่างด้าวได้ควักเอาเงินออกมา จ่ายเพื่อจะซื้อทางเดินของพวกตนให้ราบรื่น ใครจ่ายได้มากก็จะ ได้รับความเมตตาทันตาเห็น ตระกูลใหญ ่ๆ ในประเทศไทยไม่น้อย กว่า ๒๕ ตระกูล ล้วนแต่เคยพากัน “ส่งส่วย” เรือนแสนเรือนล้าน และมากมายถึง ๑,๕๐๐ ล้านบาทต่อปี

อยู่ต่อมา ประเทศไทยมีตระกูลเจ้าสัว (เศรษฐี) !เกิดขึ้นอีก ประมาณ ๑๓๙ ตระกูล แต่ละตระกูลได้ตกเป็นเหยื่อขูดรีดจากพวก ขุนศึกและพวกศักดิอย่างเป็นระบบ อันหมายถึงเมื่อถึงเวลาจ่าย ก็ต้องจ่าย เมื่อถูกถามหาเมื่อใดก็จะต้องจ่ายเมื่อนั้น

ลักษณะของการขูดรีด ได้ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน ดังจะเห็น ได้จากข่าว “หัวหน้ากองทัพธรรม” เล่นงานเงิน ๗๕,๐๐๐ ล้านบาท อยู่ในเครือข่ายของพวกขุนศึกต้องการบีบเอาเงินส่วนแบ่ง

ท่านผู้อ่านครับ ผมขอ “วกกลับ” ไปสู่กระบวนการ เผด็จการในประเทศไทยที่ผมยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า คน ๓ กลุ่ม คือ ตัวการใหญ่ นับว่าเป็นตัวการใหญ่ (และขนาดใหญ่มาก) ที่ทำให้ ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยได้ เนื่องจาก “อำนาจ อภิสิทธิ์ชน” เป็นอำนาจที่หอมหวาน ใครได้ครอบครอง จะมีแต่ ความ “สมหวัง” ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังจะเห็นได้จากกลุ่มนายทุน ในปัจจุบัน ได้ขยับเข้าไป “ครอบงำ” และครอบครองสังคมไทย ทั้งสังคมได้เบ็ดเสร็จ

เริ่มเข้าครอบครองตั้งแต่ระดับการเมืองส่วนท้องถิ่น ขึ้นไป จนถึงระดับชาติ แล้ววกเข้าหาระบบราชการ ด้วยการยินยอมไปนั่ง ทำงานในตำแหน่งที่กินเงินเดือนไม่กี่หมื่น ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวมี รายได้ถึงปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ดังจะเห็นได้จาก “สายเลือดของ หนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่งได้เอาตัวไปทำงานในแบงค์ชาติ อย่างหามรุ่งหามค่ำ ได้ตำแหน่งระดับ ๑๐ เงินเดือนที่ได้รับ ไม่พอกับค่าทิปที่จ่ายให้แก่คนขับรถ” ก็ยังพอใจที่จะทำงาน ในแบงค์ชาติ

นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงกระบวนการทางการเมือง ประดา “ลุกหลาน” นายทุนได้เข้าไปเกาะกุมอำนาจเอาไว้เกือบทั้งหมด แม้แต่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็ยังไม่เว้น

แท้ที่จริง ท่านผู้ใดจะไปเป็นนายพล เป็นแม่ทัพใหญ่ หรือเป็นมหาเสนาบดี มิใช่เรื่องแปลก

แต่ที่แปลกได้แก่ “ท่านเหล่านั้นพวกพาเอาสันดาน เผด็จการ” ติดตัวไปด้วย กล่าวคือท่านเหล่านั้นไม่ได้พัฒนา ประชาธิปไตยเลย เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่จะสร้างระเบียบ เพื่อจะส่งเสริมพวกของตนให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากคนยากคนจนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ผมขอกราบเรียนว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็น “ลูกหลานต่างด้าว” แต่ท่านมิได้มีสันดานเอาเปรียบคนในชาติ เดียวกัน ท่านได้ทำงานอย่างถวายหัวเพื่อจะชำระคราบไคลความเจ็บ ปวดของประชาชน ท่านเป็น “นายกรัฐมนตรี” ลูกหลานคนไทย เชื้อสายจีนคนเดียวที่สวมหัวใจประชาธิปไตย ท่านจึงเป็นที่รักยิ่ง ของประชาชนคนไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล

ส่วนนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด และเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ท่านเหล่านั้นมีสภาพจิตใจคล้าย “ยักษ์ กินคน” โชคดีที่ได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหารประเทศ ย่อมไม่ทิ้งนิสัย ยักษ์ และไม่ทิ้งสันดาน “มาร” จึงทำให้แต่ละท่านเพียงแต่ได้ชื่อว่า ได้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่งในชีวิต นอกเหนือจากนั้นไม่ได้มี คุณงามความดีอะไรเลย

กล่าวกันให้ชัด นายกรัฐมนตรีหลายคนที่ผ่านมามิได้เป็น ต้นแบบประชาธิปไตย ?

ท่านผู้อ่านครับ..ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้หยิบยกเอามา อธิบายในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๔ ในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั้น ผมต้องการได้รับ “ความเมตตา” จาก ลูกหลาน นายทุน ได้รับความ “สงสาร” จากลูกหลานขุนศึก และได้รับความ “กรุณา” จากลูกหลานศักดินา

ผมเชื่อว่า “ลูกหลาน” ของนายทุน ขุนศึก และศักดินา (มากมาย) ได้ซึมซับเรื่องราวที่เป็นจริง ที่ปู่ย่า ตาทวด ประสพ พบเห็นมา แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน สั่งสอนให้รู้จัก “ตักตวง” ผลกำไร สั่งสอนให้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วยวิธีการอภิสิทธิ์ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว

ครั้นวันเวลาผ่านไป และเดินทางมาถึงวันนี้ !สิ่งที่ปรากฏให้ พบเห็นได้แก่ “อำนาจเถื่อน” ได้ครอบงำสังคมไทยอย่างไม่ลืมหู ลืมตา ทำให้จิตสำนึกในความเป็นคนไทยมันต้องถามเอากับตัวเอง ว่าที่พ่อแม่ สั่งสอนมา รวมทั้งได้รับฟังมาจากระบบที่เห็นแก่ตัว จนไม่อาจทนรับฟังได้ต่อไป ในที่สุด...ลูกหลานของท่านเหล่านั้น ได้สลัดคราบเผด็จการทิ้ง แล้วกระโดดเข้ามาเป็นคนเสื้อแดง

...แดงทั้งแผ่นดิน !

แสดงถึง “จุดที่ตั้ง” ของความคิดได้เปลี่ยนจากเผด็จการมา เป็นประชาธิปไตยอย่างองอาจกล้าหาญ มิใยที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าว อย่างไรก็ไม่อาจทนอยู่กับเผด็จการได้ ?!!

จากปรากฏการณ์ในวันนี้ คนไทยกลุ่มใหญ่ พากันรวบรวม รายชื่อทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ได้ถูกรัฐบาลและพวกทุนนิยมผูกขาด “ออกมาต่อต้าน” ย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นธาตุแท้ของเผด็จการ มันทำงานสืบต่อจากอดีตอันยาวนานมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?

คนเสื้อแดงคงไม่ง่ายที่จะได้รับความเมตตา ความสงสาร และความกรุณาจากพวกผู้หลักผู้ใหญ่ แต่สำหรับ “รุ่นลูก-รุ่นลาน” แล้วละก็...ท่านเหล่านั้นไม่อาจทนดูความป่าเถื่อนต่อไปได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากนำเอาความจริงมากราบเรียน ต่อทุกท่านว่า สถานการณ์ในประเทศไทยในวันนี้กำลังนับถอยหลัง นับวันยิ่งใกล้วันยุติเข้ามาทุกที ทั้งนี้เนื่องจาก “ลูกหลานต่างด้าวกับ ประชาชนชาวรากหญ้า” กำลังรวมกันทุบประตูเผด็จการ อย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป?!

งานนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ ๑ ล้านเอาข้าวต้มหม้อเดียว ขอรับ ?!

จบบทที่ ๓๔ / สอาด จันทร์ดี

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 33 หนังสือเตือนภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ 2

บทที่ ๓๓ ตอน : หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ?!

ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๒ และกำลังอ่าน มาถึงบทที่ ๓๓ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือไม่ จะมีหรือไม่มี ผมคิด ของผมว่าจะขอกราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันสร้างงานไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ

วันนี้ขอเขียน หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ คือ
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว

แต่...สำหรับวันนี้ ขอเพิ่มการวิสัชนาปัญหามูลเหตุ เข้ามาเป็น “สาระประกอบ” เพื่อจะเป็นการคลี่คลายความลี้ลับ ดำมืดให้กระจ่างว่าอะไรเป็นตัวปัญหากระทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” จนกลายเป็น เผด็จการไปในที่สุด

มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดจากปัญหา คนต่างชาติที่พากันเข้ามาพึ่งพาอาศัยพระบรม-โพธิสมภาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้แก่การอพยพเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยของคนต่างประเทศ เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ ในประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว เมื่อพวกเขาเป็น “คนต่างด้าว” จึงเอาแต่ทำมาค้าขาย มิได้สนใจว่าระเบียบ ระบบ และระบอบจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา มิใช่คนไทยโดยสายเลือด มิได้เกี่ยวข้องกับหลักการและ เงื่อนไขประชาธิปไตย

ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีการต่อรอง “เรื่องความ เป็นธรรม” หากตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะใช้ “เงินหรือทอง” เอาไปประเคนแลกเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด อย่างปลอดภัย

วันเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นกลายเป็นนายทุน มีความ ร่ำรวยขึ้นและได้ยึดครองอาณาจักรตั้งแต่ในกรุงออกไปสู่อำเภอ และจังหวัด ทั่วประเทศ แต่ทว่าถึงจะร่ำรวยอย่างไรก็ไม่พ้น ที่จะถูกขุนศึก ข่มเหง รังแก พวกเขาจึงเกื้อหนุน ขุนศึก อย่างอิ่มหนำสำราญ และยังได้ส่งส่วย “ศักดินา” จนพวก “ขุนศึกใหญ่และศักดินาตัวเป้งๆ” มั่งคั่งร่ำรวยไปตามๆกัน ทำให้เกิดนิสัยกดขี่ขูดรีดในหมู่ชนชั้นสูง เกิดความเคยชิน ในการใช้ความชั่วร้ายแสวงหาผลประโยชน์

สุดท้าย คนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ ต่างมีความชั่วร้ายต่อสังคมไทย ทั้งสังคมอย่างเสมอหน้ากัน

เมื่อหลายสิบปีผ่าน คนต่างชาติหรือคนต่างด้าวเหล่านั้น กลายเป็นคนตามกฎหมาย ลูกเกิดมาเป็นคนไทย ได้รับการ ศึกษาดี มีความรู้ความสามารถสูง และมีสิทธิเท่าเทียม ในการเป็นคนไทยทุกประการก็ได้เข้ามาบริหารประเทศ นับแต่การเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองทั้งในระดับ ท้องถิ่น และระดับชาติ และยังลามเข้าไปเป็น “ขุนศึก” เสียเอง อีกด้วย

จึงทำให้อำนาจทั้งหลายในประเทศนี้ ล้วนแต่เป็น “มรดกตกทอด” ในกลุ่มของพวกเขา เมื่อประเทศชาติเปลี่ยนแปลง (ปี ๒๔๗๕) อำนาจ “ใหม่” ที่กล่าวว่าเป็นของประชาชนตามระบอบ “ประชาธิปไตยใหม่” เอาเข้าจริง มันเป็นประชาธิปไตยเฉพาะในกลุ่มของนายทุน ขุนศึก และศักดินาเท่านั้น

ส่วนพวกประชาชนชาวรากหญ้า หาได้รับ ประชาธิปไตยไม่ ?

ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านผู้อ่านเองก็อาจจะเป็น “เทือกเถาว์เหล่ากอ” หรือวงศาคณาญาติของคนชั่ว ทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าว ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเองว่า “พวกท่านจะพากันกล่าวอย่างภาคภูมิใจใจว่า ประเทศไทย มีประชาธิปไตยล้นเหลือ พวกท่านอยากได้อะไรก็จะได้ อยากเป็นอะไรก็จะได้เป็น”

พวกท่านเสวยความสุขประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้อย่างยิ่งใหญ่และมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา ก็จะพากันส่งใบประกาศ (หนังสือรับรอง) ไปยังชาวโลกว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย

คนต่างด้าวที่ตามเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ก็จะพากันได้รับอานิสงค์ในอำนาจและอิทธิพลที่พวกท่านมีอยู่ จะพากัน “รับรอง” ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อันหมายถึง คนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่พ่อค้าคนกลาง นายทุน ตามจังหวัดต่าง ๆ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประดาผู้ มีศักดิ์สูงในสยาม ล้วนแต่เป็นผู้ได้รับประชาธิปไตย เต็มใบ และมากกว่าเต็มใบเสียด้วยซ้ำ

แต่คนรากหญ้า ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร อย่าว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบเลยครับ แม้แต่ครึ่งใบพวกเขาก็ยังไม่ได้รับ

ดังที่ได้วิสัชนามา นี้แหละคือมูลเหตุอันเป็นสาระที่ แท้จริง

มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ พวกนายทุน ขุนศึก พากัน ตระหนักว่า “อำนาจของพวกเขากำลังจะถูกคนกล้าอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ บั่นทอนลง” จึงพากันสร้างเรื่องกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี โดยไปยุยงให้ชนชั้นสูงเกิดความเข้าใจผิด

ทำให้ “นายทุน ขุนศึก และศักดินา” กระโดดลงมา เล่นงานอย่างไม่ปราณี

ท่านผู้อ่านขอรับ เมื่อท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ย้อนกลับไปที่บทที่ ๓๒ ที่ผมได้เขียนเอาไว้ว่า “มูลเหตุ ทั้ง ๓ ที่ผมยกเอามาวิสัชนาในวันนี้ ได้ยกเรื่องเก่าเอามาเป็น เรือนร่างของการทำ “วิภาคภาคี” รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การ วิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การวิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทยทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป

อันหมายถึงพวกนายทุน ขุนศึก และศักดินา ดังกล่าว เป็นพวก “ปัจเจกเผด็จการ” ที่จัดอยู่ในคนกลุ่มน้อย แต่ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่เอาเข้าจริง พวกเขามีอำนาจ ครอบงำประเทศไทยตั้งแต่ระดับตำบล ขึ้นไปถึงระดับชาติ

และยังได้ครอบงำสถาบันศักดินาอีกด้วย !!

ดังนั้น เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จะทำให้เห็น “ลางหายนะ” มันหมิ่นเหม่ที่จะเกิดความเสียหายต่อสถาบัน ทั้งนี้เนื่องจาก “ฝ่ายสถาบัน” แทนที่จะได้เป็น “กำลังส่วนหน้า” ในการ รณรงค์ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม กลับไปยืนอยู่ข้างคนชั่ว ทำให้การสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งคนที่ทุกข์ยากจะพากันพูดว่า “ประชาธิปไตยส้นตีน” อันเป็นการด่าทอที่สะท้อนถึงความ เจ็บแค้นมันรุนแรงมาก

นอกจากนี้ยังมีพวก “ขุนศึก” ต่างพากันเป็น “คนเลว” ที่เอาตัวไปเข้าข้างคนชั่วสุดลิ่มทิ่มประตู ทำให้ ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” มีความแตกต่างจากประชาธิปไตย เต็มใบสุดจะพรรณนา ส่งผลให้ประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นแผ่นดินกึ่งเผด็จการ กึ่งประชาธิปไตย

ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านจงอย่าโกรธแค้นใน “บทสรุป” ของใบปลิวกู้ชาติ และอย่าได้มีความชิงชังผมเลย เนื่องจากว่าหากท่านเกลียดผมในวันนี้ แต่ในวันหน้า สังคม จะยอมรับความจริง และไม่นานเกินรอ สังคมไทยทั้งประเทศ จะเกิดความปั่นป่วน การต่อสู้กันนับวันแต่จะรุนแรงขึ้น

จะรุนแรงเพราะอะไร ?

คำตอบก็คือ “คนชั่ว” รวมหัวกันเล่นงานความ ปรารถนาประชาธิปไตยของคนยากคนจน ดังที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ (เหตุการณ์ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ถึง ๖ สิงหาคม/๕๒) ! อันได้แก่ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กลไกของรัฐ ป่าวประกาศให้ประชาชนทั้งหลายออกมาต่อต้านการถวายฎีกา โดยมิได้มีลักษณะใดเลยที่จะยินยอมรับฟังความปรารถนา ของคนรากหญ้า

มันจึงกลายเป็นการยืนอยู่คนละมุม กล่าวให้ชัด หมายถึงการประกาศตัดเชือก ไม่เอากับคน จนอีกแล้ว

ท่านผู้อ่าน ผมเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้ประเทศ ไทยเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้ โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำ ออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่าน ทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทยและตระเวนอยู่ ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มี ดวงตาเห็นธรรม

ผมขอกล่าวว่าดวงตาของพวกเผด็จการมืดบอด แม้แต่ พระในวัดแท้ ๆ ก็ยังมืดบอดตามไปด้วย โดยผมจะขอพาดพิง “หลวงปู่พระมหาบัว” แห่งวัดบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อ“บุญสนอง” วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี อย่างนี้ เป็นต้น

ดวงตาที่มืดบอดเหล่านี้ รังแต่จะนำความโกลาหลมาสู่ ประเทศ

ผมวิตกกังวลว่าประเทศไทยจะเกิดการนองเลือด ผมจึงออกมาชี้แนะ “สัจธรรม” ให้แก่พวกเผด็จการทั้งหลาย ขอให้รีบวิเคราะห์ “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ นี้ให้ได้

ผมเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน พากันทำงานโดยไม่มี ค่าตอบแทน เสียเวลาทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการเอาตัว เข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความ ปรารถนาดี หวังจะให้ถึงบุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึง ได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา

ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมสลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้นไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา

เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อมจะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทางเลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครองหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง เป็นฝ่ายถูก

หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ฉบับนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อท่านทั้งหลาย ทั้งที่เป็นวงศาคณาญาติของกลุ่ม เผด็จการ หรือตัวท่านเองก็อาจจะเป็น “หนึ่งในร้อยไอ้เสือร้าย” ก็ขอให้รีบกลับจิตกลับใจ หันหน้าเข้าหาใบฎีกา นำเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และประชาชนคนรากหญ้า ไม่น้อยกว่า ๒๐ ล้านคน กลับมาปรองดองกันเถิด

ไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่พ้นสงครามกลางเมือง ?!!

จบบทที่ ๓๓ / สอาด จันทร์ดี