วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 43 บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง

อน : บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง ?!

ผมกะว่าใบปลิวกู้ชาติ จะจบลงในบทที่ ๔๕ ข้างหน้านี้และครับ
แต่เรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่อยู่ในอุ้งมือของเผด็จการ มันจบยาก ?!

รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม “จึงจบยาก” ตามไปด้วย ดังนั้น ในเวอร์ชั่นใหม่ [Next Version] มันจะมีทั้งของเก่า ของใหม่ และความจำเจซ้ำซากดักดานปะปนอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คือ “ตัวละคร” ที่ออกมาโลดแล่นในในฐานะ “สงครามตัวแทน” เพื่อจะทำหน้าที่ “คุมทัพ”ในสนามรบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เรียกว่าจะมีตัวละครยาวเหยียดเบียดเสียดกันกระโดดลงมาคลุกในสนามการต่อสู้ นัวเนียไปจนหมด

ท่านผู้อ่านที่อยู่ในประเทศหรือไกลออกไป จะมีโอกาสได้เห็นสถานการณ์ของประเทศไทย ในวันข้างหน้า ในสภาพ “ถ้ำจำศีล” ของพวกอำนาจมืดอย่างยาวนาน ยากที่จะแก้ไขให้ประเทศไทยได้เปิดแผ่นดินไปสู่ความศิวิไลซ์ และยากที่จะทำความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของ “ขุนนางและอำมาตย์” ผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจในการนั่งอยู่บนกองผลประโยชน์ เป็นหัวใจที่คลอดมาจาก “อนุรักษ์นิยม” ที่มีแต่มีความเป็นอยู่โดดเด่นและสูงส่งราวหอคอยงาช้างปานนั้น

วันนี้ ผมขึ้นบทที่ ๔๓ ของใบปลิวกู้ชาติ ที่ยังคงเกาะติดดับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีปัญหาขัดข้องไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเกิดเป็นวันขึ้นมา จะหาโอกาสไปวัดด้วยหัวใจที่สงบเยือกเย็น แทบไม่ได้เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอดีต ที่พ่อแม่จะพากันหยุดพักการทำงานในวันพระ แล้วพาลูก ๆ และหลานเหลนไปวัด โดยมีความสดชื่นซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แต่วันนี้ หัวอกมันรุ่มร้อน ระบมไปทั้งร่างกาย

ปัญหาของประเทศไทยจึงเป็นปัญหาที่ระทดระทวย อันจะนำพาประเทศให้จมลึกลงไปสู่ก้นเหวของอบายภูมิ ซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหลายจะตกเป็นเหยื่อของนรก ขุมเล็กขุมน้อย สุดที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาได้ เรื่องของเรื่องเกิดมาจากอะไร ?

คำตอบของเรื่องนี้ ผมสามารถที่จะตอบให้ “โป๊ะเชะ” ได้เลย แต่ถ้าตอบแบบนั้น จะทำให้ “ตัวต้นเหตุ” ยอมรับหรือว่ายิ่งจะเกรี้ยวโกรธโกรธาขึ้นมา

ผมไม่อยากให้ตัวต้นเหตุได้รับความอับอายขายหน้า ไม่อยากให้ท่านโกรธ ผมจึงหาทางเลี่ยงด้วยการนะเสนอแบบ “บอกใบ้” ขอรับ เพราะว่าการ “บอกใบ้” จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้มิใช่น้อย ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๓ จะช่วยแคะผงออกจากตาของประดาตัวเบิ้มในประเทศไทยได้

ขอเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ไม่ต้องแปลว่า “คนไทยตัวเบิ้มๆคือตัวต้นเหตุของปัญหา” และคนไทย “ตัวเบิ้ม” เหล่านั้นมีอยู่ไม่เกิน ๗ คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวการที่แท้จริง ที่มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และรับผิดชอบต่อ “ความมั่นคง” ของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเบิ้มๆที่ว่านี้ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมมนูญก็มี ไม่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญก็มี เรื่องมีอยู่ว่าตัวเบิ้มทั้ง ๗ พากันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ ซึ้งแก่ใจว่ากลุ่มไหนมีอุดมกาณ์อย่างไร เรียกว่าไก่เห็นตีนงู-งูเห็นตีนไก่ กล่าวให้ชัดหมายถึงตัวเบิ้ม“พวกหนึ่ง”มีความจงรักภักดีจากหัวใจที่แท้จริง อีกกลุ่มหนึ่ง “ไม่มีความจงรักภักดี” อยู่ในหัวใจเลย

กลุ่มที่ไม่มีความจงรักภักดีมีความ “เกลียดชัง” ระบอบการปกครองแบบมีกษัตริย์เป็นองค์ประมุข มีอยู่ไม่เกิน ๓ หรือ ๔ คน ! แต่ด้วยเหตุว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสถาบันโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นอยู่ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาล จึงไม่อาจที่จะแสดงตนเป็นศัตรูต่อสถาบันได้

อีกอย่างหนึ่งคนกลุ่มนี้ ตระหนักดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีความมั่นคง แข็งแกร่ง “อันเนื่องแต่ประชาชนยึดมั่นในระบอบกษัตริย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง” ไม่มีวี่แววปรากฏให้เห็นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะสั่นคลอนโดยง่าย เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะกระทำสิ่งใดให้เป็นภัยแต่ตนเอง คนกลุ่มนี้จึงเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิด

แต่ก็พากันคิดชั่ว มีความพยายามที่จะหาทาง “บ่อนทำลาย” ในหลายรูปแบบ ซึ่งได้พากัน กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งหลายหน

คนกลุ่มนี้ เป็นตัวเบิ้มคนสำคัญในระบอบการปกครอง

รูปแบบหลักๆที่ทำมาก่อนได้แก่การปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย ข่าวลือที่ปล่อยออกมาได้สร้างความงุนงงสงสัยแก่ประชาชนยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจาก ศูนย์ข่าวและข้อมูลประหนึ่งฟ้ามาดิน ไม่มีทางที่จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือกระทำอะไรในทำนองรู้ดี รู้ไปหมดทุกอย่างได้ จึงอ่านได้เลยว่ามีแต่ “คนใกล้ชิด” เท่านั้น ที่สามารถดำเนินการปล่อยข่าวลือ ได้อย่างทรงอานุภาพยิ่ง

ต่อมา มีอีกกลุ่มหนึ่ง (๒ หรือ ๓ คน) ! เป็นกลุ่มที่มีความ “จงรักภักดี” ด้วยหัวใจอย่างยิ่งยวด แต่มีความอิจฉาริษยา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณชินวัตร ที่กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ ที่มีแสงสกาวสดใส มีแนวโน้มชัดจนว่าจะได้รับความรักจากประชาชนอย่างท่วมท้นทั้งแผ่นดิน คนกลุ่มนี้ได้ทำบาปอันโฉดชั่วด้วยการหาเรื่อง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำการ “ลอบสังหาร” [Assassination] แต่กระทำไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ได้ใช้กองกำลังทหารยึดอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ !

คนตัวเบิ้มของประเทศไทยรวมแล้วไม่เกิน ๗ คน จึงเป็น “ตัวการใหญ่” ที่เป็นตัว “ต้นเหตุ” ก่อปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และในจำนวนตัวเบิ้มทั้ง ๗ คนดังกล่าว แต่ละคนจะมีเครือข่ายเป็นสายสัมพันธุ์โยงใยยาวเหยียดนับเป็นร้อยเป็นพัน ทำให้กลุ่มของคนพวกนี้มีอำนาจอิทธิพลในพระราชอาณาจักรอย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล

มาถึงวันนี้ กลุ่มที่ไม่จงรักภักดี เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงแผลงฤทธิ์กระโดดลงสู่สนามรบด้วยการตั้งกองกำลังทำ “สงครามตัวแทน” ร่วมรบกับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีที่กำลังไล่บี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นการ “ประสานมือ” ใช้ทักษิณ เป็นเป้าล่อ

ขณะที่กำลังล่อกันนัวเนีย ก็ได้เร่งให้ประชาชนเกิดความเกลีดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ทว่าถึงแม้จะเร่งสุดเหยียดเพียงไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชน (คนเสื้อแดง) เกลียดชังทักษิณได้
ตรงข้าม ประชาชนยิ่งเพิ่มความรัก ความเห็นใจ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรมากขึ้น


ถึงเวลานี้ กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสงครามตัวแทน ต่างออกมาใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการ “กรีดน้ำตา” ระบายความคับแค้นใจบ้าง หรือไม่ก็พากันจัดงาน “สมานสามัคคี” บ้าง แต่ไม่ว่าจะจัดงานหรือจะทำอะไรก็ตาม สุดท้ายได้สรุปลงด้วยการ “ด่ากราด” คนเสื้อแดง หาว่าไปลุ่มหลงคารมของคนที่ไม่มีค่าเทียบเท่าองค์พระมหากษัตริย์ ในที่สุดได้กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิวนิสต์ !

ท่านผู้อ่านใบหลิวกู้ชาติทุกท่าน ผมกับคุณผึ้ง ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น นำเอาความจริงมาบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับได้เสนอแนะ “แนวทางแก้ไข” ให้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ เลยว่า จะมีใครสนใจ โดยเฉพาะได้แก่พวกอำมาตย์เอาหูทวนลม

ยิ่งตอนนี้ เป็นช่วงของคนเสื้อแดงที่แตกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันหลายล้านคน ยื่นหนังสือถวายฎีกา แต่ก็ได้มีอีกกลุ่มไม่เห็นด้วย ทำให้ได้พบเห็น “ความแตกต่าง” และ ความเหมือนในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เหมือนก็คือ ได้มีการส่งเสียงสนับสนุนมากมายแก่คนทั้งสองกลุ่ม

แต่ก็แยกความแตกต่างออกได้ชัดเจนว่า มีผู้คนที่ต่างประเทศส่งเสียงนินทาสถาบันเบื้องสูงแบบไม่หวั่นเกรงว่าจะมีภัย เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศไทย คนกลุ่มที่บังอาจตำหนิและนินทาเบื้องสูง ทำงานเข้าทางปืนของคนตัวเบิ้มจำนวน ๗ คน อย่างจัง ทำให้มีข้ออ้างได้ต่อไปว่าประเทศไทยมีคน “ไม่ประสงค์ดี” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นความชอบธรรมของพวกเขาที่จะปราบปรามคนกลุ่มนี้อย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป

ดังที่ผมกล่าวมา นับว่าเป็นการ “หักเห” ทิศทางได้อย่างแยบยลอย่างยิ่ง
แยบยลอย่างไร ? นี้เป็นคำถามที่สำคัญยิ่งนักที่จะต้องทำความเข้าใจต่อปัญหา นั้นก็คือ แรกเริ่มเดิมที ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาความผิดพลาดในระดับนักการเมือง โดยมีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต คดในข้อในกระดูก กระทำการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย และกล่าวหาขายหุ้นให้แก่ต่างชาติ หาว่าไม่เสียภาษี ซึ่งเป็น “ความผิด” ใน ระดับพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล
ถ้าความขัดแย้งยืนอยู่ในระดับนี้ ก็จะแก้ได้โดยไม่ยาก

วิธีการแก้ก็คือ มีการแข่งขันทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ พรรคนั้นเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคไหนพ่ายแพ้ก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

แต่ปัญหาของประเทศไทยแก้ยากอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากพวกขุนนางพากันบิดประเทศให้บูดเบี้ยวด้วยการ“ยกระดับ" ปัญหาจากระดับการเมืองธรรมดา เอาประชาชนไปขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการยกระดับที่แยบยลอย่างร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง !

นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ได้มีข่าวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีพวกตัวเบิ้ม ๗ คนพวกนั้น ทั้งผลัก ทั้งดันให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตุ๊กตาตัวเอ้ ยืนตระหง่านเป็น “ขุนทัพ” เดินนำหน้าประชาชนให้ชนกับเจ้า แม้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสียงปฎิเสธเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังส่งข้อความผ่านเว็ป Twitter @ Thaksinlive เพียงไรก็ไม่เป็นผล

เกิดเป็นวันขึ้นมา จะได้ยินถ้อยคำ ๒ – ๓ ประโยค ที่ดังออกมาจากปากของตัวเบี้ม ๗ คน กล่าวคือ
(๑) ให้ทักษิณ หยุดโฟนอินเสียที
(๒) ให้ทักษิณประกาศวางมือเสียเถิด
(๓) ทักษิณ อย่าหนีให้กลับมาติดเสียโดยดี
(๔) ต้องปราบทักษิณ พิษภัยร้ายกาจของสถาบันให้เสร็จสิ้น บ้านเมืองจึงจะปลอดภัย

ท่านผู้อ่านที่รักครับ ผมเขียนมาถึงจุดนี้ ก็พอจะอ่านออกแล้วใช่ไหมว่า “ตัวเบิ้ม ๗ คน” ที่ผมได้บอกใบ้แก่ท่านไปแล้ว ท่านจะอ่านออกว่าเป็นใครบ้าง ปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียง ๒ ประเด็นที่ท่านอยากรู้

อยากรู้ว่า “ใคร...คนไหน” เป็นผู้จงรักภักดีแท้
และใคร (คนไหน) คือไอ้ตัวการที่ไม่จงรักภักดี

ท่านอ่านเข้าไปในมุ้งมหาอำมาตย์ กวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วจะเห็นพวก ๗ คนโดยไม่ยาก บางคนหน้าตาเป็นคนหนุ่ม บางคนแก่งั่ก บางคนมีอำนาจราชศักดิ์ มีสายสะพายเต็มบ่า มากไปด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง มีปาราชิก โพธิรักษ์คอยเป็นพระสังฆราชในดวงใจอีกด้วย
บอกใบ้ขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วใช่ไหครับว่าคน ๗ คน ดังที่ว่าคือใครบ้าง ?!

จบบทที่ ๔๓ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น