วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 38 วันถวายฏีกา...ฟ้ายังร้อง

บทที่ ๓๘: วันถวายฎีกา...ฟ้ายังร้องรับ..?!

ท่านผู้อ่านได้อ่านใบปลิวกู้ชาติไปแล้ว ๓๗ บท วันนี้ผมขอนำบทที่ ๓๘ มาเล่าให้ฟัง แต่เรื่องราวที่เล่าเป็นเรื่องของความเชื่อในลักษณะของคนนับถือ พระพุทธศาสนา นั้นก็คือขณะทำการถวายฎีกาอยู่นั้น พลันก็ได้เกิดฟ้าร้องเสียงดัง ครืน-ครืน โดยมิได้มีเมฆฝนเลยแม้แต่น้อย อันทำให้คนเสื้อแดงเกิดความเชื่อ ขึ้นมาว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ดังถึงฟ้าถึงสวรรค์

ผมจึงขอกราบเรียนดังต่อไปนี้

ในที่สุด...การถวายฎีกาก็สำเร็จลุล่วงด้วยความสมหวังของคนเสื้อแดง ทั้งหลาย ผมเชื่อว่าความสำเร็จของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ คงจะทำให้รัฐบาล เผด็จการและพวกอำมาตย์ใหญ่ คงจะพากันผิดหวังอย่างยิ่ง ที่ไม่อาจสกัดกั้น คนเสื้อแดงได้ดังใจนึก ตรงกันข้าม ภาพที่ปรากฏขึ้นในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ มันได้กลายเป็นวันประวัติศาสตร์ของคนไทยทั้งแผ่นดินไปแล้ว

ใครไม่เคยเห็นก็ได้เห็น !
ใครไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ !!

ภาพดังกล่าวนี้ คงจะถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก อันจะทำให้ชาวโลก เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ประชาชนคนใส่เสื้อแดง จึงแห่ไปยื่นหนังสือถวายฎีกา

ซึ่งผมเชื่อว่าบางท่านก็จะเข้าใจง่าย แต่ผู้คนชาวต่างชาติต่างศาสนา อีกมากมายจะไม่มีวันเข้าใจ

คนต่างชาติจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจคงไม่แปลก ทั้งนี้เนื่องจากคนเสื้อแดง ต้องการให้คนไทยด้วยกันเข้าใจการกระทำของพวกเขา อันเป็นเรื่องของ ความต้องการความเป็นธรรม คนเสื้อแดงมีความเชื่อว่าสังคมไทยไม่มี ความเป็นธรรม เกิดมาจากถูกอำมาตย์ใหญ่บงการอยู่เบื้อหลัง จึงเล่นงานอำมาตย์ ใหญ่แบบไม่เกรงใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ใจของอำมาตย์ใหญ่โกรธแค้นชิงชังคนเสื้อแดง ไม่รู้จักจบจึงไม่อาจทราบได้ว่าเรื่องจะไปลงเอยแบบไหน ดีหรือร้าย..สุดแต่ จะมีอะไรเกิดขึ้น

ท่านครับ ผมจะไม่เขียนให้เกิดความวกวน ผมขอนำเอาเรื่อง “ถวายฎีกา ฟ้ายังร้องรับ” มามอบให้ท่านที่อยู่ไกลบ้านได้อ่านดีกว่านะครับ กล่าวคือ ขณะพิธีส่งหนังสือถวายฎีกาในช่วงนาทีสุดท้าย ได้เกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่นประหนึ่งว่าฝนกำลังจะกระหน่ำลงมา !

แต่ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ไม่มีหยาดน้ำฝนแม้แต่เม็ดเดียว ขณะนั้นผมยืนอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ในท่ามกลางคนเสื้อแดงล้นออกไป ถึงอีกฝั่งหนึ่ง พี่น้องคนเสื้อแดงส่งเสียงโห่ร้อง “ต้อนรับ” เสียงจากท้องฟ้า ด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจระคนกัน สายตาของทุกคนมองขึ้นไปเบื้องบน ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ มีแต่ความน่าแปลกใจสุดจะพรรณนา

อีกสามนาทีต่อมา เสียงคำรามลั่นจากท้องฟ้าดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ ประชาชีทั้งหลายต่างพากันส่งเสียงตอบรับดังกึกก้องกว่าเดิม ขณะเดียวกันผม สังเกตเห็นคนเสื้อแดงยิ้มเต็มใบหน้าคล้ายกับจะหยั่งรู้ในความลี้ลับอันน่าอัศจรรย์ ใจที่ได้ยินเสียงจากฟ้าด้วยตนเอง ยิ่งพี่น้องคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธบริษัท ยิ่งผูกพันอยู่กับความเชื่ออันยิ่งใหญ่นี้เกินจะพรรณนาได้

ผมถือกล้องวีดิโอ ตระเวนถ่ายภาพเคลื่อนไหวจนรอบสนามหลวง ได้เก็บภาพพระภิกษุสงฆ์และประดาคนเสื้อแดงที่หลั่งไหลมาจากทุกจังหวัด ในประเทศไทย ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ได้เห็น “คนไทย” ตื่นตัว ทางการเมืองอย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้ ผมบอกกับตนเองว่าถ้าเป็นเช่นนี้ แล้วละก็ เผด็จการใหญ่ในวันข้างหน้าจักไม่มีพื้นที่จะยืนอย่างแน่นอน

ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้า.... ! พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาเก็บภาพประวัติศาสตร์เอาไว้ด้วยความอิ่มเอิบใจ ผมถือโอกาสพูดคุยกับคนเสื้อแดงและขอเก็บภาพเอาไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับ ถือโอกาสแสวงหามิตรสหายไปในตัวเสร็จ โอกาสเดียวกันนั้นผมได้คุยกับ “คุณปรีชา สุวรรณ” (๐๘๕-๑๙๕๙๔๘๘) เสื้อแดงอำเภอพระพุทธบาท จังหวัด สระบุรี มีอาชีพค้าขายพืชไร่ คุณปรีชา

บอกถึงความรู้สึกที่ได้เข้าร่วม วันประวัติศาสตร์ว่า ดีใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องเหมือน พลุหนึ่งพันลูก ยิ่งทำให้เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่าสวรรค์ทรงทราบ จึงมั่นใจ ว่าการถวายฎีกาในครั้งนี้ จะเป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น สามารถหนีพ้น ไปจากเผด็จการมุ่งสู่ประชาธิปไตยไม่นานเกินรอ

คุณปรีชา สุวรรณ เล่าถึงปัญหาเผด็จการในประเทศไทย ได้ทำให้ “คนไทย” กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวมิใช่น้อย ไม่ว่าใครก็ตาม จะสามารถ เปรียบเทียบได้ถึงความแตกต่างระหว่างรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” กับ พรรคไทยรักไทย

สมัยทักษิณ ทำมาหากินขึ้นดีเหลือเกิน มาถึงสมัยทหารยึดอำนาจ ความยากจนเข้ามาเยือน ยิ่งเป็นสมัยอภิสิทธิ์
ร้ายแรงเหมือนตกนรก ?!
หากินไม่รอด ?!
เกิดเป็นวันมีแต่ยากจนลง ?!

คุณปรีชา สุวรรณเล่าไม่มากนัก เพราะต้องรีบเดินทางกลับพร้อมกับ คณะ แล้วบอกว่าในโอกาสข้างหน้า จะพา “ชาวบ้าน” ที่ได้รับผลกระทบ จากเผด็จการมาออกทีวีดาวเทียม รายการเสียงประชาชน จะเอาความจริง มาเล่าให้ฟัง คุณปรีชายืนยันกับผมเอาไว้ครับ

เสร็จจากคุณปรีชา..ผมได้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกล ขอสงวน นามของท่านเพื่อความปลอดภัยของพระสงฆ์ หลวงพ่อเป็นพระผู้ใหญ่ที่จังหวัด กาฬสินธุ์ ได้เล่าให้โยมสอาดฟังว่า พระรู้สึกเป็นห่วงประเทศชาติเหลือเกิน บ้านเมืองกลายเป็นเผด็จการเต็มร้อย

รัฐบาลไม่ยอมปรองดองกับคนเสื้อแดง จะปราบให้สิ้นซากท่าเดียว หลวงพ่อทนไม่ได้ จึงพาพระเณรเดินทาง เข้าร่วม ถวายฎีกา โดยมีพระอาจารย์ (ดร.) พระมหาโชว์ ทัสสะนีโย เป็นแกนนำ ฝ่ายสงฆ์ เพื่อจะ หาทางช่วยอดีตนายกทักษิณ ให้ได้กลับประเทศไทย อย่างผู้มีเกียรติ

“เห็นไหมโยม...ฟ้ายังรับรู้เลย ...” ?!
ผมตอบถวายไปว่า...เห็นแล้วครับ

ขณะที่ผมกำลังสนทนาอยู่กับหลวงพ่อ ก็ได้ยิน “นายหัววีระ มุสิก พงศ์” อ่านหนังสือถวายฎีกาที่ได้ส่งมอบแก่ท่านรองราชเลขา ให้คนเสื้อแดง ได้ยินทั่วท้องสนามหลวง เมื่ออ่านจบ นายหัววีระ มุสิกพงศ์ ได้ประกาศ ด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความสมหวังว่า บัดนี้ภารกิจการถวายฎีกา ได้สำเร็จลงทุกประการแล้ว ต่อไปนี้ ก็จะได้เชิญ ฯพณฯ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี อย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อร้องจบ ก็จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน และขอให้ทุกท่าน เตรียมตัวร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี ณ บัดนี้ !

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้เก็บภาพอันน่าตื่นเต้นประทับใจ ภาพเช่นนี้ จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้โดยง่าย แต่สำหรับวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! มิได้มี อะไรยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัวอย่างง่ายดายราวกับเนรมิต ดังจะเห็นได้ว่าคนเสื้อแดง แม้จะอยู่ไกลแสนไกล ก็ยังพากันเดินทางถึง ท้องสนามหลวงก่อน ๐๘.๐๐ น.

ตรงเวลายิ่งกว่าคนทำงานในกรุงเทพเสียอีก เมื่อเดินทางถึง ต่างพากันจับจองที่นั่งอย่างเป็นระเบียบโดยมิต้อง มีการจัดแถว แล้วส่งเสียงแสดงความรู้สึก “ดีใจ” ต่อแกนนำทั้งหลายที่ขึ้นมา ร้องเพลงขับกล่อม รวมทั้งมีการอธิบายชี้แจงขั้นตอนการถวายฎีกาต่าง ๆ ให้ทุกคนได้รับทราบ

คนเสื้อแดงพากันนั่งลงที่ข้างหน้าเวที ขณะแกนนำทำงานอยู่บนเวที เรียงแถวด้วยใบหน้าแจ่มใส กล้องของสถานี เสียงประชาชน [P-voice] บันทึกถ่ายทอดสด ขณะกล้องของทีวีช่อง ๓ กำลังทำข่าวอยู่เพียงสถานีเดียว ในขณะสถานีโทรทัศน์ ของรัฐบาลอื่นๆ ไม่มีใครมา จึงเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวในครั้งนี้แบบ ไม่มีมิตรภาพเหลืออยู่

ไม่ยอมแม้แต่จะเอ่ยถึง อันเป็นการ “งดเว้น” การเสนอข่าวแบบตัดญาติ ขาดมิตร

นอกจากจะงดการเสนอข่าวดังกล่าว ยังได้ “บิดเบือน” ออกข่าวว่า มีคนอยู่ในท้องสนามหลวงประมาณ ๗,๒๐๐ คนเท่านั้น แล้วให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลสามารถรักษาความสงบได้ ไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง

ผมรู้สึกขมขื่นกับกรมประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล ดูซีครับ พูดออกมาได้ ๗,๒๐๐ คน ! ตัวเลขที่แท้จริงมากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน ผมขอเรียนว่า ภายในท้องสนามหลวง เต็มจนแน่นขนัด แถมมี ทะลักและล้นออกมาที่คลองหลอด และทะลักไปถึงโรงแรมรัตนโกสินทร์ คำนวณดูซิ...จะมีเสื้อแดงมากกว่าแสนคนหรือไม่ ถ้าคำนวณไม่ออก ให้มองไป ทางด้านธรรมศาสตร์ จะพบว่าแน่นจนล้น

ทางประตูวิเศษไชยศรี ก็ล้นปรี่แล้วจะมีเพียง ๗,๒๐๐ คนได้อย่างไร ?ท่านผู้อ่านที่เคารพ...ผมอยากสรุปด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจอย่างยิ่งว่า โอกาสที่จะได้เห็น“น้ำตา” อำมาตย์ใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูง เหตุที่ผมเชื่อ เช่นนี้เนื่องจากแม้แต่ฟ้า ยังส่งเสียง ครืน-ครืน ดังสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อผม กลับถึงบ้าน ก็ได้ข่าวจากปากของเพื่อนของผมคนหนึ่ง ชื่อ“มหากมล ศรีนอก” เล่าให้ฟังว่า ขณะฟ้าร้องเหนือท้องสนามหลวง

ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่ทำเนียบรัฐบาล ?! ผมเป็นพุทธเหมือนกัน จึงเชื่อเป็นตะเป็นตะว่า การถวายฎีกาในครั้งนี้ ฟ้ายังร้องรับเลยครับ สอดคล้องกับพี่น้องชาวพุทธนับแสนคน ที่ได้พบเห็นในวัน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ประเทศไทยได้รับการ “ปรับปรุงแก้ไข” ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

จริงไม่จริงไม่นานเกินรอ
จะได้เห็นอย่างแน่นอนว่าจะเป็นหมู่หรือจ่า ?!

จบบทที่ ๓๘ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น