วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 34 คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ

บทที่ ๓๔ ตอน : คนต่างด้าวกับลัทธิเผด็จการ ?!

ขอสวัสดีท่านผู้อ่านทั้งในประเทศไทยและคนไทย ที่ท่องเที่ยวหรือไปปักหลักอยู่ในหลายประเทศบนโลกกลม ๆ ใบนี้ ..ขอสวัสดีอีกครั้งขอรับ

ผมได้เขียน “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ ผ่านสายตาของท่านไป ด้วยท่าทีลีลาในทำนองว่าคนต่างด้าวในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนต่างด้าวเชื้อสายจีน “เป็นผู้ส่งเสริมให้เกิดลัทธิ เผด็จการขึ้นในประเทศไทย” จนกลายเป็นปัญหาของชาตินั้น ผมมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะเขียนอธิบายขยายความให้กระจ่าง และตรงตามความเป็นจริง เพื่อที่พี่น้องร่วมชาติ “ที่เป็นคนไทย” ทั้งมวลจะได้พินิจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วมาช่วยกันทำลาย ธาตุเผด็จการให้มันหมดไป

ก่อนอื่นต้องกล่าวให้ตรงความจริงทุกประการว่า ในอดีตมา จนถึงปัจจุบัน คนต่างด้าวเชื้อสายจีนได้ “อพยพ” หลั่งไหลมา จากผืนแผ่นดินใหญ่นับเป็นล้าน ๆ คน โดยที่คนไทยขนานแท้และ ดั้งเดิมมิได้ขัดขวางเลยแม้แต่รายเดียว

ไม่เคยปรากฏเป็นข่าวว่าแม้ในปัจจุบันก็ไม่เคยมีคนไทย ดั้งเดิมคนไหนพากันต่อต้านการเข้ามาของคนต่างด้าว จึงสรุปได้ว่า “ในอดีต” ก็ไม่เคยมีการขัดขวางการเข้ามาของคนต่างด้าว นอกจากจะไม่มีการขัดขวางดังกล่าว กลับปรากฏว่า “คนไทย” พากันต้อนรับ “คนต่างด้าว” ด้วยมิตรไมตรีอย่างยิ่ง เช่นไม่มีการ วิพากษ์วิจารณ์ในทางที่เสียหายใด ๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นโชคของคนต่างด้าวจากทุกเชื้อ ชาติที่ได้เข้ามาอาศัยใต้พระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอย่างมีความสุข มีความเจริญรุ่งเรือง และมีความ ก้าวหน้าในธุรกิจการงานอย่างยิ่งใหญ่ จนกล่าวได้ว่าแม้จะพากัน หนีความยากจนมาด้วยเสื่อผืนหมอนใบ ก็ยังพากันเป็น “เศรษฐี- มหาเศรษฐี” ในประเทศไทยได้เกินกว่าจะบรรยาย

เมื่อผมได้นำเอาความจริงเล็กน้อยมาเขียนขึ้นอย่างนี้

ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๓ และกำลังอ่านมาถึง บทที่ ๓๔ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์ทำให้เกิดความเข้าใจอันดีหรือว่าจะกลายเป็น ความเห็นที่น่าเกลียดชัง ที่ผมนำเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน ?

ผมคิดของผมว่า “ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือตอบโต้” ก็จะขอ กราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันเสนอความรู้ความเข้าใจบนตะเข็บของประวัติศาสตร์ ที่ตรงตามความเป็นจริงไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ

ก่อนจะบรรยายต่อไป ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ ที่มีอยู่ในสังคมไทยแบบผู้ได้ อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น อันได้แก่ :
(๑) อภิสิทธิ์ชนนายทุนชั่ว
(๒) อภิสิทธิ์ชนขุนศึกชั่ว
(๓) อภิสิทธิ์ชนศักดินาชั่ว

มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดมาจากรากเหง้าของ “อภิสิทธิ์ชน”กล่าวคือรากฐานของ อำนาจเถื่อนทั้งปวง เกิดขึ้นมาเพื่อการถือ “อภิสิทธิ์” เหนือคนอื่น เมื่อพวกเขาสามารถถืออภิสิทธิ์เหนือคนอื่นได้มากมายและขยายวง กว้างออกไป ท้ายสุดมันได้กลายเป็นระบอบเผด็จการ

คำว่า “เผด็จการ” หมายถึงการกระทำต่อคนอื่นด้วยความ ไม่เป็นธรรม ทำให้ผู้อื่นได้รับความลำบากทั้งทางกายและทางใจ ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้สภาวะที่ถูกกดขี่ขูดรีดแสนสาหัส อันเป็น การกระทำต่อคนอื่นเอาตามใจชอบ โดยมี “อำนาจเถื่อน” ให้การ คุ้มกันและสนับสนุน จึงเรียกการกระทำเยี่ยงนั้นว่าเผด็จการ

เมื่อกล่าวเช่นนี้กับคนต่างด้าวทุกคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศ ไทย โดยเฉพาะได้แก่พี่น้องต่างด้าวเชื้อสายจีนนั้น ล้วนแต่ “ได้ ผ่าน” ระบอบเผด็จการในประเทศของตนมาแล้วทั้งสิ้น จึงมีความ รู้ความเข้าใจว่าถ้าจะให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยในประเทศไทยได้ อย่างไร เมื่อรู้วิธีการจึงใช้แนวทาง การ “ส่งส่วย” เอามาเป็น เครื่องมือ พวกเขายอมจ่ายค่าคุ้มครอง และการทำตัวเป็น ผู้ปกครองง่าย

ด้วยเหตุนี้พวกพี่น้องคนต่างด้าวจึงสามารถเจริญงอกงาม ขึ้นในประเทศไทย

ประเทศไทยในยุคต้น ยังไม่มี “ระบอบนายทุน” เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ชาวนาและชาวสวน

คนไทยสมัย โบราณจึงมีอยู่เพียง ๒ กลุ่ม คือ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย”

คนไทย ๒ กลุ่มนี้ร่วมกันสร้างบ้านแปงเมือง รักษา พระราชอาณาจักร ได้อาณาเขตพื้นที่มากกว่า ๑ ล้านตารางกิโลเมตร (ปัจจุบันเหลืออยู่ ๕๑๒,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร) !

เมื่อคนต่างด้าว (คนจีน) หลั่งไหลเข้าประเทศไทย ไม่ช้าไม่นานคนจีนเหล่านั้นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น พี่น้อง “คนจีน” ได้กลายเป็นผู้เกาะกุมระบบเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง จึงได้ทำให้ประเทศไทยมีระบอบ “ทุนนิยม” เกิดขึ้นมา แล้วได้ เปลี่ยนฐานะ “บ่าวไพร่กับเจ้านาย” มาเป็น “ขุนศึก – ศักดินา” ตามลำดับ

กล่าวตามความเป็นจริง รากฐานของเผด็จการมิได้เกิด จากนิสัยคนจีน แต่มันเกิดมาจากพวก “เจ้านาย” ในประเทศไทย ไม่มีความรักชาติ ไม่มีความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เอา ใจชาวบ้านมาใส่ใจตน พวกเขาใช้งาน “บ่าวไพร่” จนเคยตัว ได้รับผลประโยชน์จากการเป็นผู้บังคับเอาจนติดสันดาน

เมื่อมี “คนต่างด้าว” หนีร้อนมาพึ่งเย็น จึงเป็นการง่าย เหลืออเกินที่จะขูดรีดอย่างสนุกสนาน อยากได้อะไรก็จะบังคับเอา ตามใจชอบ คนต่างด้าวที่ชาญฉลาดจึงรีบประเคน ให้...ให้...ให้... แบบสุดลิ่มทิ่มประตู อันเป็นการให้ที่เกิดจากภาวะ “จำยอม” !

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงกล่าวได้เต็มปากว่า สันดานของ “ขุนศึก” และสันดานของพวกศักดินา เช่นคุณหลวง คุณพระ ท่านเจ้าคุณ และเจ้าพระยา เป็นสันดานที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้โดยพากันกระทำ แบบเผด็จการทั้งต่อประชาชนของตนเอง และกระทำต่อคนต่างด้าว

เมื่อกระทำต่อคนต่างด้าว คนต่างด้าวได้ควักเอาเงินออกมา จ่ายเพื่อจะซื้อทางเดินของพวกตนให้ราบรื่น ใครจ่ายได้มากก็จะ ได้รับความเมตตาทันตาเห็น ตระกูลใหญ ่ๆ ในประเทศไทยไม่น้อย กว่า ๒๕ ตระกูล ล้วนแต่เคยพากัน “ส่งส่วย” เรือนแสนเรือนล้าน และมากมายถึง ๑,๕๐๐ ล้านบาทต่อปี

อยู่ต่อมา ประเทศไทยมีตระกูลเจ้าสัว (เศรษฐี) !เกิดขึ้นอีก ประมาณ ๑๓๙ ตระกูล แต่ละตระกูลได้ตกเป็นเหยื่อขูดรีดจากพวก ขุนศึกและพวกศักดิอย่างเป็นระบบ อันหมายถึงเมื่อถึงเวลาจ่าย ก็ต้องจ่าย เมื่อถูกถามหาเมื่อใดก็จะต้องจ่ายเมื่อนั้น

ลักษณะของการขูดรีด ได้ตกทอดมาถึงยุคปัจจุบัน ดังจะเห็น ได้จากข่าว “หัวหน้ากองทัพธรรม” เล่นงานเงิน ๗๕,๐๐๐ ล้านบาท อยู่ในเครือข่ายของพวกขุนศึกต้องการบีบเอาเงินส่วนแบ่ง

ท่านผู้อ่านครับ ผมขอ “วกกลับ” ไปสู่กระบวนการ เผด็จการในประเทศไทยที่ผมยืนยันแล้วยืนยันอีกว่า คน ๓ กลุ่ม คือ ตัวการใหญ่ นับว่าเป็นตัวการใหญ่ (และขนาดใหญ่มาก) ที่ทำให้ ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาประชาธิปไตยได้ เนื่องจาก “อำนาจ อภิสิทธิ์ชน” เป็นอำนาจที่หอมหวาน ใครได้ครอบครอง จะมีแต่ ความ “สมหวัง” ในทุกสิ่งทุกอย่าง ดังจะเห็นได้จากกลุ่มนายทุน ในปัจจุบัน ได้ขยับเข้าไป “ครอบงำ” และครอบครองสังคมไทย ทั้งสังคมได้เบ็ดเสร็จ

เริ่มเข้าครอบครองตั้งแต่ระดับการเมืองส่วนท้องถิ่น ขึ้นไป จนถึงระดับชาติ แล้ววกเข้าหาระบบราชการ ด้วยการยินยอมไปนั่ง ทำงานในตำแหน่งที่กินเงินเดือนไม่กี่หมื่น ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวมี รายได้ถึงปีละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท ดังจะเห็นได้จาก “สายเลือดของ หนังสือพิมพ์ใหญ่ฉบับหนึ่งได้เอาตัวไปทำงานในแบงค์ชาติ อย่างหามรุ่งหามค่ำ ได้ตำแหน่งระดับ ๑๐ เงินเดือนที่ได้รับ ไม่พอกับค่าทิปที่จ่ายให้แก่คนขับรถ” ก็ยังพอใจที่จะทำงาน ในแบงค์ชาติ

นอกจากนี้ เมื่อกล่าวถึงกระบวนการทางการเมือง ประดา “ลุกหลาน” นายทุนได้เข้าไปเกาะกุมอำนาจเอาไว้เกือบทั้งหมด แม้แต่ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ก็ยังไม่เว้น

แท้ที่จริง ท่านผู้ใดจะไปเป็นนายพล เป็นแม่ทัพใหญ่ หรือเป็นมหาเสนาบดี มิใช่เรื่องแปลก

แต่ที่แปลกได้แก่ “ท่านเหล่านั้นพวกพาเอาสันดาน เผด็จการ” ติดตัวไปด้วย กล่าวคือท่านเหล่านั้นไม่ได้พัฒนา ประชาธิปไตยเลย เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่จะสร้างระเบียบ เพื่อจะส่งเสริมพวกของตนให้สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากคนยากคนจนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ผมขอกราบเรียนว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็น “ลูกหลานต่างด้าว” แต่ท่านมิได้มีสันดานเอาเปรียบคนในชาติ เดียวกัน ท่านได้ทำงานอย่างถวายหัวเพื่อจะชำระคราบไคลความเจ็บ ปวดของประชาชน ท่านเป็น “นายกรัฐมนตรี” ลูกหลานคนไทย เชื้อสายจีนคนเดียวที่สวมหัวใจประชาธิปไตย ท่านจึงเป็นที่รักยิ่ง ของประชาชนคนไทยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล

ส่วนนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นคนไทยโดยสายเลือด และเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ท่านเหล่านั้นมีสภาพจิตใจคล้าย “ยักษ์ กินคน” โชคดีที่ได้นั่งเก้าอี้หัวหน้าผู้บริหารประเทศ ย่อมไม่ทิ้งนิสัย ยักษ์ และไม่ทิ้งสันดาน “มาร” จึงทำให้แต่ละท่านเพียงแต่ได้ชื่อว่า ได้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งหนึ่งในชีวิต นอกเหนือจากนั้นไม่ได้มี คุณงามความดีอะไรเลย

กล่าวกันให้ชัด นายกรัฐมนตรีหลายคนที่ผ่านมามิได้เป็น ต้นแบบประชาธิปไตย ?

ท่านผู้อ่านครับ..ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมได้หยิบยกเอามา อธิบายในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๔ ในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ที่แท้จริง นั้น ผมต้องการได้รับ “ความเมตตา” จาก ลูกหลาน นายทุน ได้รับความ “สงสาร” จากลูกหลานขุนศึก และได้รับความ “กรุณา” จากลูกหลานศักดินา

ผมเชื่อว่า “ลูกหลาน” ของนายทุน ขุนศึก และศักดินา (มากมาย) ได้ซึมซับเรื่องราวที่เป็นจริง ที่ปู่ย่า ตาทวด ประสพ พบเห็นมา แล้วถ่ายทอดมาสู่ลูกหลาน สั่งสอนให้รู้จัก “ตักตวง” ผลกำไร สั่งสอนให้รู้จักเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ด้วยวิธีการอภิสิทธิ์ ซึ่งพวกเขาก็ทำตามทุกกระเบียดนิ้ว

ครั้นวันเวลาผ่านไป และเดินทางมาถึงวันนี้ !สิ่งที่ปรากฏให้ พบเห็นได้แก่ “อำนาจเถื่อน” ได้ครอบงำสังคมไทยอย่างไม่ลืมหู ลืมตา ทำให้จิตสำนึกในความเป็นคนไทยมันต้องถามเอากับตัวเอง ว่าที่พ่อแม่ สั่งสอนมา รวมทั้งได้รับฟังมาจากระบบที่เห็นแก่ตัว จนไม่อาจทนรับฟังได้ต่อไป ในที่สุด...ลูกหลานของท่านเหล่านั้น ได้สลัดคราบเผด็จการทิ้ง แล้วกระโดดเข้ามาเป็นคนเสื้อแดง

...แดงทั้งแผ่นดิน !

แสดงถึง “จุดที่ตั้ง” ของความคิดได้เปลี่ยนจากเผด็จการมา เป็นประชาธิปไตยอย่างองอาจกล้าหาญ มิใยที่พ่อแม่จะดุด่าว่ากล่าว อย่างไรก็ไม่อาจทนอยู่กับเผด็จการได้ ?!!

จากปรากฏการณ์ในวันนี้ คนไทยกลุ่มใหญ่ พากันรวบรวม รายชื่อทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ได้ถูกรัฐบาลและพวกทุนนิยมผูกขาด “ออกมาต่อต้าน” ย่อมเป็นการพิสูจน์ให้เห็นธาตุแท้ของเผด็จการ มันทำงานสืบต่อจากอดีตอันยาวนานมาถึงปัจจุบันได้อย่างไร ?

คนเสื้อแดงคงไม่ง่ายที่จะได้รับความเมตตา ความสงสาร และความกรุณาจากพวกผู้หลักผู้ใหญ่ แต่สำหรับ “รุ่นลูก-รุ่นลาน” แล้วละก็...ท่านเหล่านั้นไม่อาจทนดูความป่าเถื่อนต่อไปได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากนำเอาความจริงมากราบเรียน ต่อทุกท่านว่า สถานการณ์ในประเทศไทยในวันนี้กำลังนับถอยหลัง นับวันยิ่งใกล้วันยุติเข้ามาทุกที ทั้งนี้เนื่องจาก “ลูกหลานต่างด้าวกับ ประชาชนชาวรากหญ้า” กำลังรวมกันทุบประตูเผด็จการ อย่างไม่เกรงกลัวอีกต่อไป?!

งานนี้ผมกล้าท้าพิสูจน์ ๑ ล้านเอาข้าวต้มหม้อเดียว ขอรับ ?!

จบบทที่ ๓๔ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น