วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 30 ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้ม แบบถอนรากถอนโคน

บทที่ ๓๐ ตอน : ระวังจะเกิดการปฏิวัติ "โค่นล้ม" แบบถอนรากถอนโคน ?!

ก่อนอื่น ขอแสดงความรักและเป็นมิตรกับท่านผู้อ่านทุกท่านท่านคงได้อ่านใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๒๙ ไปแล้ว

วันนี้...ผมกำลังเสนอท่าน ด้วย "บทที่ ๓๐" ในชื่อที่น่าสะพรึงกลัวว่า"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้ม แบบถอนรากถอนโคน" ?!!

มีเหตุและปัจจัยอันใดหรือ ? จึงกล้าใช้คำว่า "ระวังจะถูกปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทยในวันข้างหน้า มันจะร้ายแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน กล่าวคือมันจะมีการเปลี่ยนแปลงถึงขั้นกระทบกระเทือนต่อระบอบการปกครองของประเทศทั้งระบอบอันเป็นเรื่องที่สังคมไทยไม่เคยมีใคร "บังอาจ" พูดเช่นนี้มาก่อน

ผม...นาย สอาด จันทร์ดี ขออนุญาตกล่าวขึ้นในวันนี้ ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่ง

เรื่องมีอยู่ว่า ตลอดวันของวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ เลยไปถึงเวลาเที่ยงคืน ผมได้เข้าไปในบริเวณท้องสนามหลวงที่ "คนเสื้อแดง" กำลังจัดงานต้อนรับรายนามประชาชนที่พากันเข้าชื่อเพื่อจะกราบบังคมทูลถวายฎีกา ก็ได้พบกับความยิ่งใหญ่น่าระทึกใจยิ่งนัก

ผมได้เห็นขบวนแห่ขนรายชื่อพสกนิกรจากจังหวัดต่าง ๆ นำไปมอบให้แก่ "นปช." อันเป็นองค์กรการเมืองของคนเสื้อแดง เรียงแถวกันเข้าสู่ท้องสนามหลวง แล้วถูกแห่ขึ้นไปประกาศบนเวทีด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความลิงโลดใจ เช่นมีเสียงประกาศว่าชมรมคนรักประชาธิปไตยพัทยา ๒๙,๓๔๐ คน แนวร่วมต่อต้านเผด็จการจังหวัดน่าน ๒๓,๐๐๐ คน อย่างนี้เป็นต้น

เสียงไชโยโห่ร้อง แสดงความสมหวังดังกระหึ่มเวทีท้องสนามหลวง

ผมได้ติดตามตัวเลขด้วยความระทึกใจ นึกไม่ถึงว่าตัวเลขที่เคยได้เคยได้รับฟังจากการให้ข่าวของ นาย วีระ มุสิกพงศ์ว่าถ้าได้เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ก็จะดำเนินการถวายฎีกา แต่ถ้าได้ต่ำกว่า "หนึ่งล้าน" ก็จะยุติทันที

ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านคงได้รับทราบตัวเลขแล้วว่ามีพสกนิกรแห่เข้าชื่อขอถวายฎีกามีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน ตัวเลขจริงอาจจะถึง "ห้าหรือหกล้านคน" ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมต้องรีบดึงเอาภูมิความรู้เกี่ยวกับ " กระบวนการปฏิวัติสังคมไทย" ขึ้นมาพิเคราะห์ว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ จะจบลงอย่างไร

ทันทีที่ผมได้พิเคราะห์ (ในใจ) แล้วเสร็จ ผมชี้ขาดอยู่ในใจว่า ประเทศไทยเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่ง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ อันหมายถึงสังคมไทยในเวลาอันไม่นาน จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ผ่านเส้นทาง ๒ แพร่ง

หมายถึง ทางแพร่งที่ ๑ : ถ้าฝ่ายอำมาตย์เผด็จการคิดทันและ "กลับตัวทัน" ด้วยการหันหน้าเข้าหากัน พร้อมที่จะปรองดองกับคนเสื้อแดงด้วยความเต็มใจและไม่มีเงื่อนไขใด ๆ จะทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างสวยสดงดงาม ไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ นอกจากจะไม่กระทบกระเทือนต่อสถาบันของชาติ ยังจะเป็นการ "สร้างความมั่นคงให้เป็นจริงและยั่งยืน" อีกด้วย จะทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมมือกันสร้างชาติ สร้างกระบวนการต่างๆในระบอบการปกครองเดิมให้เข้าสู่แนวทางประชาธิปไตยใหม่

ทางแพร่งที่ ๒ มันจะแตกต่างจากเส้นทางแพร่งที่ ๑ เนื่องจากพวกอำมาตย์เผด็จการไม่ยอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจะดำเนินการทุกรูปแบบเพื่อจะ "แบน" ฎีกาของพสกนิกรไม่ให้ไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเขายังคงดื้อรั้นที่จะ "ใส่ร้ายป้ายสี" คนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และยังคงยืนยันว่า "พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร" ไม่มีความจงรักภักดีแล้วกล่าวหาต่อไปว่า ใฝ่ที่จะเป็นประธานาธิบดี ก็จะทำให้ "คนเสื้อแดง" เกิดความคับแค้นใจมากขึ้น และร้ายแรงยิ่งกว่าความแค้นในคราวก่อนๆ

หากฝ่ายอำมาตย์พากัน "เดินทางแพร่งที่ ๒" โดยมิใส่ใจว่าคนไทยควรจะใช้ความปรองดองแก้ปัญหาของชาติ

ถ้าปฏิบัติเช่นนี้ เมื่อใด เมื่อนั้นจะทำให้คนเสื้อแดงแห่ออกมาทวงถามหาความเป็นธรรมร้อนแรงขึ้น อันจะเป็นผลทำให้เกิดการปะทะกับทหาร และตำรวจที่พากันจ้องจะปราบปรามอยู่แล้ว

ทั้งหลายทั้งปวง จะออกหัวหรือออกก้อย คงจะได้เห็น "แรงกระเพื่อม" ภายใน ๗-๘ วัน หรืออย่างมากไม่เกิน ๑๕ วันนับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ นี้แหละครับ

ดังที่ผมได้วิเคราะห์เอาไว้ว่า ถ้าฝ่ายอำมาตย์เลือกทางเดินแพร่งที่ ๑ จะใช้เวลาขึ้นรูประบอบประชาธิปไตย (อย่างน้อย ๖ ปี) จึงจะทำให้โครงสร้างประชาธิปไตยเกิดเป็นความเป็นจริงขึ้นมาได้

แต่ถ้าอำมาตย์เลือกทางออกด้วยการใช้ทางแพร่งที่ ๒ จะทำให้ระยะทางขึ้นรูปประชาธิปไตยสำเร็จลงได้เร็วกว่า...(อย่างช้าไม่เกิน ๓ ปี !)

ท่านผู้อ่านครับ ผมขอกราบเรียนว่าทางแพร่งที่ ๒ นี้ จะก่อความเสียหายต่อระบอบการปกครองสุดที่จะหลีกเลียง เนื่องจากเหตุร้ายมันจะเกิดจากการปราบปราม มีการเข่นฆ่ากันขึ้น มีประชาชนล้มตาย สังเวยชีวิตให้แก่ความป่าเถื่อน เมื่อมันเป็นเช่นนี้ ประชาชนทั้งประเทศจะ "ลุกฮือ" รวมตัวกันกวาดล้างเผด็จการ ดังที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ เข่นประเทศฝรั่งเศสเป็นต้น

ผมขออนุญาตนำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนปฏิวัติ (ประเทศไทย) มาเล่าให้ฟังว่า เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้ยินยอมเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยภายใต้คำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ได้ทำให้ "แนวทางโค่นล้มระบอบการปกครองด้วยอาวุธ" ได้สิ้นสุดลงอย่างไม่มีวันที่จะจัดตั้งกองกำลังขึ้นมาได้อีก

การโค่นล้มอำนาจรัฐด้วยอาวุธสิ้นสภาพตั้งแต่บัดนั้น

หลังจากขบวนการปฏิวัติด้วยอาวุธพังทลายลง พรรคคอมมิวนิสต์หมดพิษสงไปจากสนามรบ ประเทศไทยกลับสู่ความสงบแต่ทว่า ความสงบที่ว่านั้น มันเป็นความสงบอันเนื่องจากประเทศไม่มีสงครามกลางเมือง แต่ความชั่วร้ายของ "นายทุน ขุนศึก ศักดินา" ยังมีอยู่

พวกอำมาตย์เผด็จการมิได้ทำการปฏิวัติสังคมในแนวทางสันติเลยไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้สังคมไทยกลับเข้าสู่ยุค "อนุรักษ์นิยม" ไม่แตกต่างจากอดีต

สุดท้าย พวกเผด็จการพากันผยอง ทำการก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แล้วเอาความเท็จมากล่าวหาคนบริสุทธิ์ (พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร) ?!! ทำให้ประชาชนที่เคยได้รับอานิสงค์จากนโยบายอันวิเศษของพรรคไทยรักไทย ต่างพากันต่อต้านโดยมิหวั่นเกรงต่อภยันตรายใดๆที่พวกเผด็จการคำรามเข้าใส่

สุดท้าย ได้เกิดคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน

ท่านครับ ผมขอสรุปในบทที่ ๓๐ นี้ว่า "บัดนี้ คนเสื้อแดง" กำลังเดินทางมาถึงทาง ๒ แพร่งว่า ต่อไปจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งผมเชื่อว่าแพร่งที่ ๑ ได้แก่การได้รับกระแสของความปรองดองเยี่ยงพี่น้องเลือดไทยสีเดียวกัน หรือแพร่งที่ ๒ ถูกพวกอำมาตย์ปฏิเสธ

ท่านครับ ผมไม่อยากพยากรณ์อะไรเลยในตอนนี้ ผมขอทำหน้าที่เตือนอำมาตย์ทั้งหลายว่า

"ระวังจะเกิดการปฏิวัติโค่นล้มแบบถอนรากถอนโคน" ?!

ซึ่งเป็นภาษาเขียนที่ไม่เป็นมงคลเลย ท่านผู้ใดมาอ่านพบ อาจจะร้องลั่นด้วยความตกใจ แต่ถ้าผมไม่เขียนเยี่ยงนี้ ก็จะไม่มีใครนำเรื่องนี้ขึ้นมาเขียน

ขอเรียนว่า เมื่อสังคมอำมาตย์เป็นคน "กด" เอาไว้ ประชาชนที่อยู่ภายใต้การเก็บกด ย่อมจะระเบิดเปรี้ยงออกมา สุดท้ายมันจะกลายเป็นการปฏิวัติโดยประชาชน ยากที่จะยับยั้งเอาไว้ได้

ทั้งนี้ โปรดรอดูสัญญาณภายในไม่เกินวันที่ ๑๕ สิงหาคมนี้ ว่าบ้านเมืองจะออกทางแพร่งไหน ผมหวังว่าข้อเขียนนี้ จะเป็นบริบทเตือนพวกอำมาตย์ให้ครุ่นคิดก่อนจะสายเกินไป

จบบทที่ ๓๐ /สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น