วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ ๔๕ บทสุดท้าย “ตอนจบ” ใบปลิวกู้ชาติ

ผมได้ทำงานรับใช้ “ท่านผู้อ่าน” มาถึงวันอำลาแล้วครับ

ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้เป็นฉบับตอนจบ (๘ กันยายน ๒๕๕๒) !

จบลงด้วยการ “ขมวดปม” ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าปัญหาของชาติคืออะไรบ้าง พร้อมกับมีข้อเสนอแนะที่เข้าใจง่ายอีกเช่นกัน เพื่อทุกฝ่ายจะได้นำเอาไปใช้เป็น “แนวทาง” แก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม ให้หลุดไปจากวิบากต่างๆที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

ผมขอกราบเรียนกับท่านว่า “บทสุดท้าย” อันเป็นตอนจบของใบปลิวกู้ชาติ จะมีความยาวไม่มาก ผมจะรีบย่นย่อให้กระชับ ดังนี้

ปฐมเหตุที่ ๑ : สาเหตุหลัก ๕ ประการ

ประการที่หนึ่ง : ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาร้ายแรงจนแทบว่าแผ่นดินจะแตก เกิดจากพวก “ขุนนาง” และพวกอำมาตย์ใหญ่ “ทั้งอำมาตย์หลวงและอำมาตย์เอกชน” เป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ มีความทะเยอทะยานอยากในอำนาจมากมาย กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมความเป็นอยู่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกบคนจน-จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

ประการที่สอง : พวกขุนนางและอำมาตย์พากันกระทำความผิดต่อตัวบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นการ “กลั่นแกล้ง” ทางการเมืองที่โฉดชั่วด้วยการใช้กำลังทหารเผด็จการ “ยึดอำนาจการปกครอง” แล้วกุเรื่องอันเป็นเท็จ ใส่ความ กล่าวหา ตั้งข้อหาราวกับว่าเขาผู้เป็นโจรร้าย เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้หยิบยื่นข้อกล่าวหา “หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” อันเป็นการตั้งข้อหาของพวกเผด็จการที่บ่อนทำลายความสามัคคีอย่างร้ายแรงที่สุด

ประการที่สาม : แม้ข้อกล่าวหาจะร้ายแรงเพียงไร พวกเผด็จการหาได้หยุดการกระทำไม่ ยังคง “เดินหน้า” กล่าวหาต่อไปด้วยการแยกคนพวกหนึ่ง (คนเสื้อเหลือง) รักเจ้ามากที่สุด อีกพวกหนึ่ง (คนเสื้อแดง) ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำจะล้มล้างระบอบการปกครอง อันเป็นการแยกคนในชาติให้เกิดความแตกแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน

ประการที่สี่ : ทั้งหลายทั้งปวง ปรากฎว่ามีคนอยู่เพียง ๒ กลุ่มเท่านั้น ที่ปฏิบัติเป็นศัตรูต่อกัน คือพวกเสื้อเหลือง – เป็นฝ่ายกระทำ พวกเสื้อแดง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่กระทำ ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ตาย คนที่ถูกกระทำ ฮึดสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนคนเสื้อแดงขึ้นมายัน ทำให้ “การต่อสู้” เกิดการประจันหน้า จวนเจียนจะเกิดสงครามนองเลือด ดังตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (วันสงกรานต์เลือด) ที่คนเสื้อแดง นำโดย นปช.
รวมตัวกันขับไล่เผด็จการ รัฐบาลได้สั่งให้ทหารออกมาปราบด้วยมาตรการเด็ดขาด หากใครขัดขืน จะไม่มีการละเว้น ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอันน่าสะเทือนใจ

เหตุการณ์ในวันนั้น จบลงได้ภายในเวลาอันไม่นาน เนื่องจากฝ่ายแกนนำ “นปช.” ตัดสินใจยุติการขับเคลื่อนด้วยการยินยอมมอบตัวแก่เจ้าพนักงาน โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กับเพื่อนแกนนำยอมเป็นผู้ต้องหา ไม่วิตกว่าจะได้รับโทษร้ายแรงเพียงไร

สมมติว่า แกนนำ นปช. ต้องการเอาชนะการต่อสู้ในวันนั้น ก็จะไม่มีการ “ลดราวาศอก”ใดๆทั้งสิ้น อันจะเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชน ถ้ามีการปะทะกันในวันนั้น เชื่อได้เลยว่าโฉมหน้าของประเทศไทยจะพลิกจากซีกหนึ่งไปอีกซีกหนึ่ง อันจะเป็นต้นเหตุให้ประชาชนทะลักออกมาสู้บนท้องถนนมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็ได้ หรือจะกลายเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ก็ได้




ประการที่ห้า : ปัญหาที่เกิดในประเทศไทยดังกล่าวมา เกิดจากระบบสังคมของประเทศนี้เป็นระบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่พากันแอบอิง “ระบอบ” เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วพากันใช้อำนาจเผด็จการเข้าครอบงำสังคมเอาไว้ การครอบงำแต่ละครั้งล้วนแต่ได้ใช้วิธีกาอันไม่เป็นธรรมกับประชาชน เช่นการปฏิวัติเงียบ การใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง เป็นต้น พวกเขากระทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรากฎว่าได้รับความสมหวัง (ชนะ) ทุกครั้ง นับแล้วมากกว่า ๒๘ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ ดังนั้น พวกเขาจึง “ย่ามใจ” ไม่เคยมีความละอายใจว่าได้กระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชนคนเสื้อแดง



ปฐมเหตุที่ ๒ : ประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ อำนาจ ๒ เจ้าของ ?!

สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาจากปัญหาเดียว ปัญหานั้นได้แก่ “อำนาจอธิปไตย” มีหลายเจ้าของ กล่าวคือที่ว่าประเทศไทยมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจนั้น แท้ที่จริง คำพูดดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นความจริงได้เลย ความจริงที่แท้จริงได้แก่อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของอำมาตย์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยทั้งปวง ไม่ได้เป็นของคนรากหญ้าโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจทั้งปวงเป็นของคนรวยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
วิธีการทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ สำรวจได้จากสถานะของคนรวยนั้น จะได้อำนาจทางการเมืองจากการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนรวยสามารถครอบครองปัจจัยการผลิต ปัจจัยการครองชีพได้มากมายไม่มีขอบเขต คนรวยและคนมีอำนาจจะสามารถเกาะกุมอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ที่เป็นไม่เป็นธรรม โดยไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กล่าวให้เห็นชัดมากขึ้น โปรดดู
(๑) “อธิปไตยของปวงชน” ว่าเป็นจริงหรือไม่ ?
(๒) “เสรีภาพของประชาชน” มีความเป็นจริงเพียงไร ?
(๓) อำนาจใน “กรรมสิทธิ์” ต่างๆนั้น ประชาชนพากันมีได้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงคำยกย่องสรรเสริญให้หลงเข้าใจผิดว่าประชาชนได้ทุกอย่างเท่านั้น ?


สรุปแล้ว เจ้าของอำนาจที่อยู่เหนือกว่าประชาชนคนรากหญ้า ได้แก่พวกขุนนาง-อำมาตยาและพวกคนรวยทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพิเคราะห์ได้เลยว่าประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้มีผู้ถืออำนาจเหนือประชาชน .. ?!

ปฐมเหตุที่ ๓ : ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูป ?!

ดังที่กล่าวมา ทำให้เราได้พบความจริงว่า “พวกขุนนาง-อำมาตย์และคหบดี” ทั้งหลายพากันอาศัยโครงสร้าง “อำนาจนิยม” แบ่งเป็นพวกใครพวกมัน ตั้งตัวเป็นใหญ่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เกาะกุมผลประโยชน์อย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข พวกเผด็จการทั้งหลายจึงพากัน “ซ่อนรูป” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความอบอุ่นและฮึกเหิมอย่างยิ่ง แล้วพากัน “กบดาน” ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมิได้พะวงว่าประเทศชาติจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเพียงไร ดังจะเห็นได้จากกรณีข้อขัดแย้งของคนไทยในวันนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าก่อความเดือดร้อน ไม่ยอมหยุดการกระทำ แม้จะมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกเขาหาได้มีความวิตกกังวลแต่ประการใดไม่ ?!

แนวทางแก้ปัญหา :
(๑) วิธีการและ
(๒) ความหวัง

ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าคนไทยจะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบอ้อยอิ่ง ไม่จริงใจ อันรังแต่จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา

๑ : แนวทางแก้ปัญหามีวิธีการอยู่ ๒ อย่าง

แนวทางที่ ๑ : แก้โดยฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ทหารตำรวจ ข้าราชการและนักวิชาการทั้งหลาย ยอมรับรู้ความจริง แล้วรีบสร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติขึ้นมาโดยด่วน เพื่อจะได้จัดการให้คนไทย “ปรองดอง” กันทั่วประเทศ ประการสำคัญได้แก่การยอมรับความจริงว่าพวกตนได้กระทำกับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ย่อมไม่เป็นการยากที่จะแก้ปัญหาของชาติได้

แนวทางที่ ๒: ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องเป็นภาระของคนเสื้อแดงที่จะต้อง “ระดม”สรรพกำลังให้ได้คนเสื้อแดงถึงร้อยละ ๗๐ – ๗๕ ของประเทศ พลังเสื้อแดงมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ให้พรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเด็ดขาดให้ได้ เพื่อจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการ “ยกเครื่อง” ประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากอำนาจเผด็จการ

๒ : ความปรารถนาและความสมหวัง ?

ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีความปรารถนาอย่างร้อนแรงอยากเห็นประเทศไทยได้รับการแก้ปัญหา แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่าฝ่ายเผด็จการมีจุดยืนเป็นเสื้อเหลืองเกือบเต็มร้อยที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และอีกหลายพื้นที่ในภาคอื่น ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์อันอบอุ่น เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายครอบครองปัจจัยการผลิต และปัจจัยการครองชีพ พวกเขามีคนไทยเป็นลูกค้าทั้งประเทศ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่ได้กับได้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฝ่ายกันข้ามคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงจะเข้าไปลดอำนาจเถื่อนของพวกเขา ถ้าผมกล่าวเช่นนี้ ก็จะมองเห็นได้เลยว่า เป็นการยากที่จะได้รับความสมหวัง แล้วเราจะทำอย่างไร ?

คำตอบก็คือคนเสื้อแดงต้องเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทำงานให้เกิดเอกภาพมากยิ่งขึ้น
มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งให้ได้


ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่าเหตุที่ผมเรียกร้องหา “แนวทางการเลือกตั้ง” ก็เพราะว่าแนวทางนี้เป็นแนว “ปฎิวัติสันติ” ตามต้นแบบของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกถ้าประเทศไทยไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหา แต่พากันไปใช้ “ทหารเข้ามายึดอำนาจ” หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นเช่น “โกงการเลือกตั้ง” เป็นต้น ก็จะทำให้คนไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในการพัฒนาปรชาธิปไตยด้วยการกระบวนการ “โค่นล้ม” ด้วยพลังประชาชน”ปฎิวัติ” อันไม่พึงปรารถนา

ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์..!

เผด็จการจะเลือกเอาทางไหน...ขึ้นอยู่ที่พวกขุนนางทั้งหลาย ?!

จบบริบูรณ์ / สอาด จันทร์ดี

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ 44 ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.)

บทที่ ๔๔ ย้อนดูความเลวของพันธมิตรฯ (พธม.) ?!!

ผมเขียนใบปลิวกู้ชาติผ่านมาแล้ว ๔๓ บทขอรับ ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๔๔ อีกบทเดียวก็จะจบแล้วครับ ผมกำลังคิดอยู่ว่าบทที่ ๔๕ จะเปิดเผย “รายชื่อ” บุคคลที่เป็นตัวการทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย (ดีหรือไม่ดี) ทั้งนี้ อาจจะมี “คุก” เป็นเดิมพัน ในข้อหา “หมิ่นประมาท” หรืออะไรก็ไม่ทราบ จึงได้แก่กราบเรียนเอาไว้ว่าจะเขียนให้จบลงอย่างมีประโยชน์แก่ประเทศชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รอคอยอีกไม่กี่วันก็จะได้อ่านบทที่ ๔๕ ภายในสัปดาห์หน้านี้ขอรับ

ผมขอเริ่มบทวิพากย์ในเชิงประวัติศาสตร์ในบทที่ ๔๔ ว่า แรกเริ่มเดิมที ผมคิดไม่ถึงว่าพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)พวกสันติอโศก และพรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นม็อบ “ก่อกวนเมือง” ให้ปั่นป่วนทั้งประเทศ ?

แต่วันนี้ ความเลวร้ายได้ปรากฏขึ้นแก่แก่คนไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าและพวกเศรษฐีทั้งหลายต่างพากันได้รับ “ชะตากรรม” ตกทุกข์ได้ยาก ร้านค้าต้องปิดตัวเอง โรงงานเลิกกิจการ คนงานถูกลอยแพ เศรษฐกิจของชาติปั่นป่วน เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง คนไทยแตกเป็นสองฝัก-สองฝ่าย มีเสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อสีน้ำเงิน ?!

เมื่อบ้านเมืองเกิดความปั่นป่วนผวนผันร้ายกาจรุนแรง แทนที่จะรู้ว่าสาเหตุมันเกิดมาจากการกระทำของตัวเอง กลับพากันโยนความผิดให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คนเดียว ด้วยการกล่าว ว่าถ้าไม่มีคนชื่อทักษิณ “เหลืออยู่ในโลกนี้” ประเทศไทยจะสงบ ? ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนพวกเผด็จการจะเหี้ยมโหดไม่รู้จักจบสิ้น แต่มันก็ได้เป็นไปแล้ว !

ท่านผู้อ่านทุกท่านก็ย่อมจะตระหนักแก่ใจว่า “คนที่ทำให้มันเป็นไปแล้วได้แก่พวกสันติอโศก – พันธมิตรฯพรรคประชาธิปัตย์ และ คมช.” ทั้งนี้เนื่องจากทุกท่านได้เห็นด้วยตา ได้สัมผัสด้วยตนเอง นับเป็นเวลาเกือบ ๖ ปีติดต่อกัน ผมจึงขอเสนอบันทึกย้อนหลังกลับไปในปีที่ผ่านมาว่า :

ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ! พวกพันธมิตร ที่เล่นเอาเถิดกับมาตรการโหดกับประเทศของตนเอง พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลายตัว ตรงกันข้ามมีแต่ความก้าวร้าว เหิมเกริม หนักข้อยิ่งขึ้น สิ่งที่พวกพันธมิตรฯกระทำหนักข้อที่สุดในขณะนั้น ได้แก่การยึดครองถนนมัฆวาน ไม่ยอมเปิดถนนให้เสด็จในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา พันธมิตรระดมพลจัดตั้งกองกำลังไม่แตกต่างจากกองโจรก่อการร้าย “การแต่งตัวของกองกำลังน่าเกลียดและน่ากลัวมาก” !

นอกจากพันธมิตรจะยึดครองทำเนียบรัฐบาล ยังได้นำกำลังไปยึดสนามบินดอนเมืองและได้บุกไปยึดสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับได้ประกาศปิดสนามบินนานาชาติของตัวเอง กระทำกับสมบัติของชาติราวกับว่าพวกเขาเป็นกองโจรต่างชาติ ที่ได้ชัยชนะในประเทศไทย พวกเขากระทำไม่แตกต่างจากคนขายชาติ นักท่องเที่ยวบินกลับประเทศไม่ได้นับแสนคน พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งอันไม่ควรทำ ชาติย่อยยับต่อหน้าก็กล้าทำ ?!

ผมขอเล่าสั้น ๆ “เมื่อพวกเขาได้รับไฟเขียวจากทหารว่าจะไม่ขัดขวางม็อบไม่ว่ากรณีใด ๆ พวกพันธมิตรได้แสดงอาการดื้อรั้นมาก ไม่เกรงกลัวกฎหมาย” พันธมิตรแสดงตนเป็นผู้มีอำนาจพิเศษด้วยการจัดการกับตำรวจราชาเทวะอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตำรวจแทนที่จะเป็นฝ่ายปราบปรามม็อบพันธมิตร แต่กลับตกเป็นเหยื่อของม็อบพันธมิตร “ถูกจับถอดเครื่องแบบ” แถมถูกทุบตีอีกต่างหาก บังคับให้เดินเท้าเปล่ากลับโรงพัก ตำรวจนับพันนายไม่อาจบังคับให้พันธมิตรสลายการชุมนุมได้ ทำให้ภาพของพันธมิตรในเวลานั้นกลายเป็นองค์กรการเมือง “ใต้ดิน” ที่กำลังทำหน้าที่ปกครองประเทศแข่งกับรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๖

พันธมิตรประกาศออกมาว่าในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ “นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์” นายกรัฐมนตรี จะไม่ได้เข้าเฝ้าในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ ! ใครไม่เชื่อว่าคำประกาศของพันธมิตรจะเป็นจริงไปได้ ทั้งนี้เนื่องจากตามจารีตประเพณีของสังคมไทยนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะบุคคลที่กำลังเป็นรัฐบาล รวมทั้งฝ่ายค้าน ตลอดทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย จะพากันไป “ถวายพระพร”ในวันเฉลิมอย่างถ้วนหน้า ซึ่งในช่วงนั้น นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่ง มีหรือจะไม่ได้เข้าเฝ้า ?

ทว่า...ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ ศาลได้พิพากษาให้ยุบพรรคการเมือง ๓ พรรค เป็นผลให้พรรคพลังประชาชน (๑ ใน ๓) ถูกยุบ ! นายสมชาย วงศ์ในโอกาสเดียวกันนั้น พันธมิตรฯ ก็ได้ประกาศสลายม็อบในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ !

เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ สังคมไทยจึงพากันถึง “บางอ้อ” ว่าคำพูดของพันธมิตรที่บอกใบ้เอาไว้นั้น ที่แท้เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพรรคพลังประชาชน แสดงว่าพันธมิตรคือเจ้าของอำนาจพิเศษที่ได้มาจากอะไรบางอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นพันธมิตรจะไม่ “แม่น” ขนาดนี้ เมื่อพันธมิตรฯประกาศสลายม็อบ พรรคพลังประชาชนสิ้นสภาพตาม ทำให้เกิดพรรค “เพื่อไทย” ขึ้นมารองรับภารกิจ ก็ได้เกิด “งูเห่าภาค ๒” โดยการกระทำของนายเนวิน ชิดชอบ นำพานักการเมืองในอ้อมกอดจำนวน ๓๒ คนแห่ไป “ซบอก” พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ ๒๗ อันเป็นการ “หักดิบ” ทางการเมืองที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง

พวกงูเห่าได้รวมตัวกันตั้งพรรคภูมิใจไทย ใส่เสื้อสีน้ำเงินนายเนวิน ชิดชอบ ได้ชื่อว่าเป็นคน “อกตัญญู” เนรคุณพรรค เพราะเขาประกาศว่าเขา
พร้อมที่จะต่อสู้ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อการปกป้องสถาบันให้มั่นคง ว่าแล้วก็ร้องให้ในจอทีวี รำพันถึงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณให้ประชาชนได้ชมทั้งแผ่นดิน

การหักหลังพรรคการเมืองในครั้งนี้ นายเนวิน ชิดชอบ มีอำนาจเต็ม กุมบังเหียนพรรค นับแต่บัดนั้น ประดาผู้ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างพากัน“กร่าง” แสดงอำนาจบาตรใหญ่ เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และข่มเหงรังแก “คนเสื้อแดง” หนักหน่วงยิ่งขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางปรองดองกันได้เลย ประเทศไทยทั้งประเทศจมดิ่งลงไปสู่ความขัดแย้งทั้งในทางความคิด ความเชื่อ และความไม่ลงรอย โดยมีพวกเผด็จการ-อำมาตย์ใหญ่ และพวกอนุรักษ์นิยมทั้งหลาย ได้ทำตัวเป็นเจ้าของรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าของความ “จงรักภักดี” และเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ แต่ฝ่ายเดียว คล้ายกับว่าคนเสื้อแดง “มิใช่คนไทย” ทั้งๆที่อยู่ร่วมแผ่นดินสยามผืนเดียวกัน

น่าแปลกที่สุด ได้แก่คนที่ชั่วช้าที่สุด กลับไม่มีความเสียหาย ได้แก่“นายสนธิ ลิ้มทองกุล” และพวกแกนนำพันธมิตรทั้งหลาย รวมถึง “สันติอโศกโพธิรักษ์” พลตรี จำลอง ศรีเมือง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ! เป็นต้น คนที่ถูกตีไข่ใส่ความว่าได้ทำให้ชาติเสียหายได้แก่ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” และคนเสื้อแดง ตลอดทั้งนักการเมืองซีกฝ่ายค้าน หรืออดีตนักการเมืองที่ถูกเว้นวรรคทางการเมืองคนละ ๕ ปี นับเป็นร้อยคนขึ้น ตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ

ผมรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งที่ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยจึงมีคนใช้อำนาจเผด็จการควบคุมนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม โดยอ้าง “ความจงรักภักดี” เอาขึ้นมาเป็นเครื่องมือ แล้วเล่นงานคนในชาติว่ากำลังจะล้มล้างระบอบการปกครอง ผมรู้สึกสงสัยอย่างมากที่สุด ที่ชนชั้นผู้ปกครอง ได้ยกเอาประชาชน (พสกนิกร) ขึ้นมาเป็นศัตรูของกับพระเจ้าแผ่นดิน การกระทำเช่นนี้ มีเลศนัยน่าระทึกยิ่งนัก ?!

เลศนับที่น่าสงสัยมากได้แก่การแต่งตั้ง “แกนนำ” ของพันธมิตร คือนายกษิต ภิรมย์ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต่อมา แม้จะถูกข้อหาว่าเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่มีการให้ออก รัฐบาลยังคง “อุ้ม” นายกษิต ภิรมย์ อย่างเหนียวแน่น นอกจากนี้ ยังมีการประสานเสียงไปทั่วแผ่นดินจากบุคคลสำคัญของประเทศ กล่าวหาคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ทั้งทางตรงและทางอ้อม ข้อกล่าวหามีอยู่เรื่องเดียวที่ยืนกรานตลอดเวลาว่าไม่มีความจงรักภักดี เป็นฝ่ายตรงข้ามกับองค์พระมหากษัตริย์

คนที่กล่าวชัดถ้อยชัดคำที่สุด คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กล่าวหากลางสภาผู้แทนราษฎร มิใช่แต่เท่านี้ ยังมีข้อกล่าวหาจาก “องคมนตรี” อีกหลายคน ตามด้วยท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร ที่ออกมาร่ำให้ในจอ ทีวี ช่องหอยม่วง อันเป็นการ “ตอกย้ำ” เข็มหมุดให้ฝังลึกลงไปว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับคนเสื้อแดง คือกลุ่มบุคคลที่กำลังจ้องทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์

ย้อนกลับไปที่พันธมิตร ปรากฏว่าได้เกิดการ “ลอบสังหาร” [Assassination] นายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ช่างประหลาดยิ่งนัก กระสุนไม่อาจปลิดชีพเขาได้ คดีลอบฆ่านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้สร้างปรากฏการณ์อันน่าระทึกใจ อยากรู้จังเลยว่าใครหนอเป็นคนลงมือสังหารคนชั่วคนนี้ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าทำ แต่ก็มีคนทำจนได้ ประเทศไทยในช่วงพรรคประชาธิปัตย์ได้อำนาจรัฐ ผมเชื่อว่าเป็นช่วงที่พวกเผด็จการกำลังหาทาง “จัดตั้ง” ฐานอำนาจถาวร เพื่อจะเกาะกุมอำนาจรัฐเอาไว้ไม่ให้หลุดไปจากมืออีก เรื่องนี้จึงเกี่ยวข้องต่อการแต่งตั้ง “ผู้บัญชาการตรวจแห่งชาติ” คนใหม่ ที่จะมาแทน “ภัทรวาท” !

ผมเดาตามประสาของผมว่า ตำรวจใหญ่คนหนึ่ง กับนายตำรวจใหญ่อีกคนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการเลือกตั้งในวันข้างหน้า ที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ “พรรคประชาธิปัตย์” ให้ได้กลับมาเป็นรัฐบาล หรือไม่ก็เป็นการกระทำเพื่อจะบ่อนทำลาย “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ให้มีความสง่างามและไม่ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไป เรียกว่าพวกเดียวกันกำลังทำลายพวกเดียวกัน อันหมายถึง “นายกรัฐมนตรี” ในดวงใจของพวกเผด็จการในวันข้างหน้า ไม่มีคนชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหลงเหลืออยู่ต่อไป

การขับเคี่ยวจึงวิจิตรพิสดารอย่างยิ่ง ผมเดาว่า “ประเด็น” ทำลายนายอภิสิทธิ์ เป็นประเด็นหลัก แต่จะทำลายได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวการที่หนุนหลังกันอยู่ว่า ใครจะแน่กว่าใคร ?! เมื่อเป็นเช่นนี้ การวางตัวจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี เหมาะหรือไม่เหมาะ จึงเป็นหมากการเมืองที่มีมือ “ลึกลับ” ยื่นออกมาขยับจับเปลี่ยน ถ้าจับเปลี่ยนดีๆไม่ได้ ก็ได้ใช้วิธีการยึดอำนาจ การปกครองด้วยวิธีการป่าเถื่อนตามรูปแบบตามกลยุทธ์ที่พวกเผด็จการได้วางเป้าหมายเอาไว้ เรื่องดังกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๗๕ มาจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างครั้งหลังสุดคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ความเลวร้ายที่เกิดกับประเทศไทย ได้หยั่งรากลงนับแต่วัน คมช. ยึดอำนาจ หลังจากนั้น พวก คมช. ได้แสวงหารูปแบบที่จะทำให้ “อำนาจเผด็จการ” สามารถดำรงอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น พวก คมช. จึงได้สร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา (๒๕๕๐) โดยมีพวกลูกมือวิ่งหน้าเริดเข้าซุกปีก คมช. อันมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นสมุนตัวเอ้ คอยรับลูกทั้งในทางกฎหมายและ “นอกกฎหมาย” ได้แก่การแสดงท่าทีเอาใจใส่แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย ดังจะเห็นได้จากกรณี “นปช.” เรียกร้องให้ดำเนินคดีกับเรื่องเดียว เงียบยังกะคลื่นกระทบฝั่งปฏิบัติการเช่นนี้เข้าข่ายหาทางทำนอกกฎหมายให้กลายเป็นคลื่นกระทบฝั่ง

วิธีการทำงานเพื่อให้เกิดเป็นคลื่นกระทบฝั่ง และสุดท้ายได้ปลุกกระแสเป็นครั้งเป็นคราวจนสามารถกำหนดยุทธ์ศาสตร์ได้อย่างกลมกลืน แม้แต่เรื่อง “ลูกหมีแพนด้า” ตัวเท่ากับลูกหมูก็สามารถนำเอามาใช้เป็นเครื่องมือกลบกระแสได้เป็นอย่างดี แต่ความเจ็บปวดของประชาชนนับวันแต่จะรุนแรงยิ่งขึ้น ประธานกลุ่มของคนเสื้อแดง “นายวีระ มุสิกพงศ์” ในนามของ นปช. หรือมีชื่อเต็มว่า “แนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” ได้แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเผด็จการได้ใช้วิธีการอันแยบยลเพื่อจะกลบเกลื่อนการกระทำอันชั่วร้ายของตนเองอย่างไรบ้าง นายวีระ มุสิกพงศ์ได้ใช้รายการ “ความจริงวันนี้” ส่งภาพสนทนาระหว่าง ๓ เกลอหัวขวด ฉีกหน้ากากอันโสมมของพวกเผด็จการ ก็ไม่อาจทำให้พวกเผด็จการเกิดความอับอายขึ้นมาได้

อีกมุมหนึ่ง “นายอดิศร เพียงเกษ” ! นักการเมืองขวัญใจคนรากหญ้าแห่งที่ราบสูง ผู้มี “ต้นทุน” การต่อสู้กับเผด็จการถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกมาแล้ว ได้แสดงตนในการนำอย่างองอาจกล้าหาญ ได้กล่าวคำปราศรัยฉีกหน้ากากนับครั้งไม่ถ้วน มันไม่ได้ทำให้เผด็จการสั่นสะเทือนแม้แต่น้อย กล่าวให้ชัด “เผด็จการก็ไม่ได้อ่อนแรงลงเลย” !

วันสงกรานต์ ๒๕๕๒ จึงเกิดวันสงกรานต์เลือด ! ดังจะได้เห็นภาพทหารจำนวนมาก ในมือถือปืนเอ็ม ๑๖ หันปลายกระบอกปืนใส่ประชาชน ทั้งยิงขึ้นฟ้า และยิงเข้าใส่ประชาชน

ใช่...! ประชาชนตายไม่มาก แต่ก็มีคนล้มตาย และมีคนสูญหาย ! มีการ “ขนศพ” เอาขึ้นรถแล้วขับบึ่งเอาศพไปเผาที่ไหน ไม่แน่ชัด มีแต่ข่าวลือว่าเผาในค่ายทหาร และเผาที่วัดสำคัญวัดหนึ่งใน กทม. พระภิกษุองค์หนึ่ง ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้ง ในมือของท่านจะมีไม้เท้าและสะพายถุงย่าม จนเป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาว่าพระภิกษุองค์นี้ท่านเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคนเสื้อแดง ทว่าหลังจากวันเกิดเหตุสงกรานต์เลือด ท่านอยู่แถวหน้า ร่วมสู้กับคนเสื้อแดง แล้วก็หายไปอย่างไม่มีร่องรอย เหตุเกิดที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เหลือแต่จีวรถูกถอดทิ้งอยู่บนถนนพร้อมกับบาตร

เหตุการณ์ในวันสงกรานต์เลือด เป็นการล้อมปราบประชาชนคนไทยในชาติเดียวกัน ที่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดมาจากชนชั้นผู้ปกครองเป็นผู้ก่อขึ้น โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้รับผิดชอบทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่การรับผิดชอบนั้นไม่แตกต่างจาก “สงครามตัวแทน” ทั้งนี้เนื่องจากเราเชื่อว่า มีมือเผด็จการ “คอยบงการ” อยู่เบื้องหลัง มือดังกล่าวนั้น ยังไม่ยอมปล่อยวางจนกระทั่งบัดนี้

เห็นได้ชัดจากการยื่นหนังสือถวายฎีกาเมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ ! ที่มีมวลมหาประชาชนมากกว่า ๕ ล้านคน ส่งรายชื่อขอร่วมถวายฎีกา แม้จะคัดออกจำนวนมากก็ยังเหลือรายชื่อที่ถูกต้องอยู่มากกว่า ๓ ล้านคน ทันทีที่มีการถวายฎีกา ณ ท้องสนามหลวง พวกเผด็จการ “ออกมาต่อต้าน” ระงมไปทั่วประเทศ

ข่าวการถวายฎีกาถึงวันนี้ (๔ กันยายน ๒๕๕๒) ! ไม่มีวี่แววแม้แต่นิดว่าหนังสือถวายฎีกาจะได้รับการวินิจฉัยจากรัฐบาลว่าจะส่งกลับไปยังสำนักราชเลขาหรือว่าจะกักเอาไว้ ประเทศไทยนี้หนอ เหตุไรจึงเลวร้ายถึงเพียงนี้ ?!

ผมย้อนมองกลับไปยังการกระทำของพันธมิตร - สันติอโศก และพวกเผด็จการทั้งหลาย ผมพบกับการกระทำที่เลวร้ายมากมายหลายเรื่อง ขอนำเอาเรื่องที่เข้าใจง่ายมาเล่าว่าพวกเขาใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ต. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมา นับถึงวันนี้รวมแล้ว ๖ ปีกว่า !

แรกเริ่ม ประมาณ ๒-๓ ปีดูไม่ค่อยจะรุนแรง แต่นานวันเข้าก็ยกระดับขึ้นมากล่าวร้ายทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV และยังตีพิมพ์ในสื่ออีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ได้ “เดินสาย” เล่นงานที่สวนลุมพินี และไปถล่มหนักที่วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี มีการตั้งม็อบเอามาด่า ขับไล่ ท๊ากสิน ออกไป –ท๊ากสิน ออกไป ! สื่อกระแสหลักของประเทศไทย คือหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ วิทยุ โทรทัศน์ พากันเสนอข่าว ขายดิบ ขายดี ไม่มีใครเฉลียวใจแม้แต่นิดว่าสื่อกระแสหลัก ได้เข้าร่วมกับพวกเผด็จการก่อความปั่นป่วนให้แก่ประเทศชาติโดยส่วนรวม ?!

ยิ่งสื่อกระแสหลักช่วยเสนอข่าวมากมายเพียงไร พวกม็อบเผด็จการยิ่งได้ใจมากมายเพียงนั้น มีคนอ้างตัวเป็นพระ แต่แท้ที่จริงพวกเขาคือเดียรถีย์ หุ่งห่มคล้ายพระ อ้างตัวเป็นศิษย์ของสำนัก “สันติอโศก” ยกกองทัพธรรม ปักกลด เล่นงานรัฐบาลด้วยข้อหาที่ใส่ร้ายป้ายสีล้วนแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น แต่ก็น่าแปลกใจมากว่าทำไมนะ คนเสื้อเหลือง ทั้งที่เป็นไฮโซ และพวกนักวิชาการ กลับพากันเข้าข้าง “เดียรถีย์” เหล่านั้นอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

พวกม็อบพันธมิตรยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นประหนึ่งกองบัญชาการใหญ่สั่ง “ยึดอำนาจรัฐ” จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ! ทำเนียบรัฐบาลได้กลายเป็นดินแดนโสมม มีการ “สมสู่” คล้ายโรงแรมม่านรูด มีการแลกเปลี่ยนคู่ขากันอย่างสนุกสนาน ข่าวว่านักรบศรีวิชัยได้ “ข่มขืน” แม้กระทั่งหญิงแก่อายุ ๖๕ หรือว่าประดาสาวแก่แม่หม้าย หรือแม้กระทั่งคนที่ยังมีครอบครัวเป็นตัวเป็นตน ยังพากัน “สำส่อน” โจ๋งครึ่ม ถุงอนามัยเต็มถังขยะ !


ผมไม่แน่ใจว่า “โพธิรักษ์” มีสาวิกาคอยปรนนิบัติหรือไม่ ?!

ที่ทำเนียบรัฐบาล : สาวเอ๊าะเอ๊าะ พากันตั้งท้องหลายคน! นอกจากนี้ยัง มีการซ้อมรบ คล้ายกองกำลังโจรก่อการร้าย ประเทศไทยในยามนั้นไม่แตกต่างจากบ้านเถื่อนเมืองเถื่อน หลังจากพวกม็อบได้ถอนตัวออก จึงได้รู้ว่าม็อบผีบ้าผีบุญทำปูยี่ปูยำกับทำเนียบรัฐบาลถึงขั้น “อึ” ใส่เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ทำลายข้าวของกระจุยกระจายไม่แตกต่างจากโจรป่าบุกเข้าปล้น บ้านเรือน ปล้นแล้วขี้ใส่ก่อนอำลา พร้อมกับกวดเอาทรัพย์สินไปจนเกลี้ยง ?!

ต่อมาได้ทราบว่าเครื่องมือเก็บรักษาความลับได้ถูกรื้อค้นและทำลายป่นปี้ ข้อมูลพวกค้ายาบ้า ยาอี ยาไอช์ หายเรียบ ข้อมูลเจ้ามือหวยใต้ดิน ซุ้มมือปืน ไม่มีเหลือ ข้อมูลบ่อนเถื่อนทั่วประเทศ ตลอดทั้งข้อมูล นักเลง อันธพาล ถูกทำลายเละ ?! ทั้งนี้ยังไม่รวมข้อมูล “ความมั่นคง” การค้าขายระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเอกสารประวัติศาสตร์ตั้งแต่โบราณกาล ได้ถูกฉีกขาด และฉกเอาไปจากห้องเก็บเอกสารชิ้นสำคัญของแผ่นดิน

ความเลวของพันธมิตร สาหัสสากรรจ์ ที่มีมือ “ลี้ลับ” เป็นผู้บงการให้กระทำปูยี่ปูยำแก่ประเทศอันไม่ทราบสาเหตุว่าเหตุไร จึงโกรธแค้นชิงชังถึงขั้นจ้องทำลายความมั่นคงของประเทศไทยทั้งประเทศ ? โดยไม่มี ทหารและตำรวจ กล้าแสดงตนออกมาขัดขวาง

วันนี้ เศรษฐกิจของชาติฟุบจนแทบโงหัวไม่ขึ้น ต่างชาติขาดความไว้วางใจ ยากที่จะมีความกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถึงจะมีต่างชาติบางคนมีความกล้า ก็จะมีแต่ในกลุ่ม “พวกมาเฟีย” ด้วยกัน ที่ถือว่าที่ไหนมีสงคราม ที่นั่นย่อมจะมีบ่อน้ำมันให้เอื้อมมือตัก สิ่งหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือลูกค้าโรงแรมหายไป กิจการท่องเที่ยวพังกราวรูด โรงงานผลิตสินค้า “ส่งออก” ประสบชะตากรรม อันเนื่องมาแต่ไม่มีใบสั่งซื้อ ทำให้รายได้ของประเทศจมหายไปกับความวิบัติมากกว่า ๑ ล้าน-ล้านบาท จึงเป็นเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องขึ้นภาษีน้ำมัน กู้เงิน ๔ แสนล้าน บวกอีก ๔ แสนล้าน รวมเป็น ๘ แสนล้านบาท !

เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ออกพันธบัตร ขอกู้เงินพ่อแม่ผู้อยู่ในวัยสูงอายุ ได้เงินไป ๕ หมื่นกว่าล้านบาท ทำให้ประชาธิปัตย์มีเงินเอาไปวิ่งแจกคนมีเงินเดือน คนละ ๒,๐๐๐ บาท และอื่น ๆ

สรุปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์กำลังเอาประเทศเป็นสนามแก่งแย่งเกมอำนาจโดยมิได้สนใจว่าประเทศชาติจะแตกเป็นกี่เสี่ยงต่อกี่เสี่ยง ?!
จบบทที่ ๔๔ / สอาด จันทร์ดี

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 43 บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง

อน : บอกใบ้ ใครตัวการทำลายความมั่นคง ?!

ผมกะว่าใบปลิวกู้ชาติ จะจบลงในบทที่ ๔๕ ข้างหน้านี้และครับ
แต่เรื่องการเมืองของประเทศไทย ที่อยู่ในอุ้งมือของเผด็จการ มันจบยาก ?!

รวมทั้งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม “จึงจบยาก” ตามไปด้วย ดังนั้น ในเวอร์ชั่นใหม่ [Next Version] มันจะมีทั้งของเก่า ของใหม่ และความจำเจซ้ำซากดักดานปะปนอย่างไม่มีทางเลี่ยง หากจะเปลี่ยนไปบ้างก็คือ “ตัวละคร” ที่ออกมาโลดแล่นในในฐานะ “สงครามตัวแทน” เพื่อจะทำหน้าที่ “คุมทัพ”ในสนามรบเศรษฐกิจ ศาสนา การเมืองสังคม ศิลปะ และวัฒนธรรม เรียกว่าจะมีตัวละครยาวเหยียดเบียดเสียดกันกระโดดลงมาคลุกในสนามการต่อสู้ นัวเนียไปจนหมด

ท่านผู้อ่านที่อยู่ในประเทศหรือไกลออกไป จะมีโอกาสได้เห็นสถานการณ์ของประเทศไทย ในวันข้างหน้า ในสภาพ “ถ้ำจำศีล” ของพวกอำนาจมืดอย่างยาวนาน ยากที่จะแก้ไขให้ประเทศไทยได้เปิดแผ่นดินไปสู่ความศิวิไลซ์ และยากที่จะทำความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักสากล ทั้งนี้เนื่องจากหัวใจของ “ขุนนางและอำมาตย์” ผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจในการนั่งอยู่บนกองผลประโยชน์ เป็นหัวใจที่คลอดมาจาก “อนุรักษ์นิยม” ที่มีแต่มีความเป็นอยู่โดดเด่นและสูงส่งราวหอคอยงาช้างปานนั้น

วันนี้ ผมขึ้นบทที่ ๔๓ ของใบปลิวกู้ชาติ ที่ยังคงเกาะติดดับสถานการณ์ของประเทศไทยที่มีปัญหาขัดข้องไม่รู้จักจบสิ้น เรียกว่าเกิดเป็นวันขึ้นมา จะหาโอกาสไปวัดด้วยหัวใจที่สงบเยือกเย็น แทบไม่ได้เลย ซึ่งมันแตกต่างจากอดีต ที่พ่อแม่จะพากันหยุดพักการทำงานในวันพระ แล้วพาลูก ๆ และหลานเหลนไปวัด โดยมีความสดชื่นซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แต่วันนี้ หัวอกมันรุ่มร้อน ระบมไปทั้งร่างกาย

ปัญหาของประเทศไทยจึงเป็นปัญหาที่ระทดระทวย อันจะนำพาประเทศให้จมลึกลงไปสู่ก้นเหวของอบายภูมิ ซึ่งหมายถึงประชาชนทั้งหลายจะตกเป็นเหยื่อของนรก ขุมเล็กขุมน้อย สุดที่จะแก้ไขให้กลับฟื้นคืนดีขึ้นมาได้ เรื่องของเรื่องเกิดมาจากอะไร ?

คำตอบของเรื่องนี้ ผมสามารถที่จะตอบให้ “โป๊ะเชะ” ได้เลย แต่ถ้าตอบแบบนั้น จะทำให้ “ตัวต้นเหตุ” ยอมรับหรือว่ายิ่งจะเกรี้ยวโกรธโกรธาขึ้นมา

ผมไม่อยากให้ตัวต้นเหตุได้รับความอับอายขายหน้า ไม่อยากให้ท่านโกรธ ผมจึงหาทางเลี่ยงด้วยการนะเสนอแบบ “บอกใบ้” ขอรับ เพราะว่าการ “บอกใบ้” จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้มิใช่น้อย ผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๓ จะช่วยแคะผงออกจากตาของประดาตัวเบิ้มในประเทศไทยได้

ขอเริ่มต้นด้วยถ้อยคำที่ชัดเจน ไม่ต้องแปลว่า “คนไทยตัวเบิ้มๆคือตัวต้นเหตุของปัญหา” และคนไทย “ตัวเบิ้ม” เหล่านั้นมีอยู่ไม่เกิน ๗ คนที่ถือได้ว่าเป็นตัวการที่แท้จริง ที่มีหน้าที่รับผิด ชอบต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศ และรับผิดชอบต่อ “ความมั่นคง” ของสถาบันชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวเบิ้มๆที่ว่านี้ มีหน้าที่ตามรัฐธรรมมนูญก็มี ไม่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญก็มี เรื่องมีอยู่ว่าตัวเบิ้มทั้ง ๗ พากันมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ ซึ้งแก่ใจว่ากลุ่มไหนมีอุดมกาณ์อย่างไร เรียกว่าไก่เห็นตีนงู-งูเห็นตีนไก่ กล่าวให้ชัดหมายถึงตัวเบิ้ม“พวกหนึ่ง”มีความจงรักภักดีจากหัวใจที่แท้จริง อีกกลุ่มหนึ่ง “ไม่มีความจงรักภักดี” อยู่ในหัวใจเลย

กลุ่มที่ไม่มีความจงรักภักดีมีความ “เกลียดชัง” ระบอบการปกครองแบบมีกษัตริย์เป็นองค์ประมุข มีอยู่ไม่เกิน ๓ หรือ ๔ คน ! แต่ด้วยเหตุว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสถาบันโดยตรง มีความเกี่ยวข้องกับสถานะความเป็นอยู่ โดยได้รับผลประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาล จึงไม่อาจที่จะแสดงตนเป็นศัตรูต่อสถาบันได้

อีกอย่างหนึ่งคนกลุ่มนี้ ตระหนักดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยมีความมั่นคง แข็งแกร่ง “อันเนื่องแต่ประชาชนยึดมั่นในระบอบกษัตริย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลง” ไม่มีวี่แววปรากฏให้เห็นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะสั่นคลอนโดยง่าย เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะกระทำสิ่งใดให้เป็นภัยแต่ตนเอง คนกลุ่มนี้จึงเก็บงำความรู้สึกอย่างมิดชิด

แต่ก็พากันคิดชั่ว มีความพยายามที่จะหาทาง “บ่อนทำลาย” ในหลายรูปแบบ ซึ่งได้พากัน กระทำมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน หลายครั้งหลายหน

คนกลุ่มนี้ เป็นตัวเบิ้มคนสำคัญในระบอบการปกครอง

รูปแบบหลักๆที่ทำมาก่อนได้แก่การปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลาย ข่าวลือที่ปล่อยออกมาได้สร้างความงุนงงสงสัยแก่ประชาชนยิ่งนัก เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนั้นอยู่ห่างไกลจาก ศูนย์ข่าวและข้อมูลประหนึ่งฟ้ามาดิน ไม่มีทางที่จะปั้นน้ำเป็นตัว หรือกระทำอะไรในทำนองรู้ดี รู้ไปหมดทุกอย่างได้ จึงอ่านได้เลยว่ามีแต่ “คนใกล้ชิด” เท่านั้น ที่สามารถดำเนินการปล่อยข่าวลือ ได้อย่างทรงอานุภาพยิ่ง

ต่อมา มีอีกกลุ่มหนึ่ง (๒ หรือ ๓ คน) ! เป็นกลุ่มที่มีความ “จงรักภักดี” ด้วยหัวใจอย่างยิ่งยวด แต่มีความอิจฉาริษยา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณชินวัตร ที่กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ ที่มีแสงสกาวสดใส มีแนวโน้มชัดจนว่าจะได้รับความรักจากประชาชนอย่างท่วมท้นทั้งแผ่นดิน คนกลุ่มนี้ได้ทำบาปอันโฉดชั่วด้วยการหาเรื่อง “ปั้นน้ำเป็นตัว” ใส่ร้ายป้ายสี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งมีความพยายามที่จะทำการ “ลอบสังหาร” [Assassination] แต่กระทำไม่สำเร็จ ในที่สุดก็ได้ใช้กองกำลังทหารยึดอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ !

คนตัวเบิ้มของประเทศไทยรวมแล้วไม่เกิน ๗ คน จึงเป็น “ตัวการใหญ่” ที่เป็นตัว “ต้นเหตุ” ก่อปัญหาให้แก่ประเทศชาติ และในจำนวนตัวเบิ้มทั้ง ๗ คนดังกล่าว แต่ละคนจะมีเครือข่ายเป็นสายสัมพันธุ์โยงใยยาวเหยียดนับเป็นร้อยเป็นพัน ทำให้กลุ่มของคนพวกนี้มีอำนาจอิทธิพลในพระราชอาณาจักรอย่างกว้าง
ใหญ่ไพศาล

มาถึงวันนี้ กลุ่มที่ไม่จงรักภักดี เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงแผลงฤทธิ์กระโดดลงสู่สนามรบด้วยการตั้งกองกำลังทำ “สงครามตัวแทน” ร่วมรบกับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีที่กำลังไล่บี้ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นการ “ประสานมือ” ใช้ทักษิณ เป็นเป้าล่อ

ขณะที่กำลังล่อกันนัวเนีย ก็ได้เร่งให้ประชาชนเกิดความเกลีดชัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่ทว่าถึงแม้จะเร่งสุดเหยียดเพียงไรก็ไม่อาจทำให้ประชาชน (คนเสื้อแดง) เกลียดชังทักษิณได้
ตรงข้าม ประชาชนยิ่งเพิ่มความรัก ความเห็นใจ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตรมากขึ้น


ถึงเวลานี้ กลุ่มบุคคลที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการทำสงครามตัวแทน ต่างออกมาใช้กลยุทธ์ใหม่ด้วยการ “กรีดน้ำตา” ระบายความคับแค้นใจบ้าง หรือไม่ก็พากันจัดงาน “สมานสามัคคี” บ้าง แต่ไม่ว่าจะจัดงานหรือจะทำอะไรก็ตาม สุดท้ายได้สรุปลงด้วยการ “ด่ากราด” คนเสื้อแดง หาว่าไปลุ่มหลงคารมของคนที่ไม่มีค่าเทียบเท่าองค์พระมหากษัตริย์ ในที่สุดได้กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นคอมมิวนิวนิสต์ !

ท่านผู้อ่านใบหลิวกู้ชาติทุกท่าน ผมกับคุณผึ้ง ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น นำเอาความจริงมาบรรยายอย่างเป็นขั้นเป็นตอน พร้อมกับได้เสนอแนะ “แนวทางแก้ไข” ให้อีกด้วย แต่ไม่ปรากฏ เลยว่า จะมีใครสนใจ โดยเฉพาะได้แก่พวกอำมาตย์เอาหูทวนลม

ยิ่งตอนนี้ เป็นช่วงของคนเสื้อแดงที่แตกออกเป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันหลายล้านคน ยื่นหนังสือถวายฎีกา แต่ก็ได้มีอีกกลุ่มไม่เห็นด้วย ทำให้ได้พบเห็น “ความแตกต่าง” และ ความเหมือนในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่เหมือนก็คือ ได้มีการส่งเสียงสนับสนุนมากมายแก่คนทั้งสองกลุ่ม

แต่ก็แยกความแตกต่างออกได้ชัดเจนว่า มีผู้คนที่ต่างประเทศส่งเสียงนินทาสถาบันเบื้องสูงแบบไม่หวั่นเกรงว่าจะมีภัย เพราะตัวเองไม่ได้อยู่ในประเทศไทย คนกลุ่มที่บังอาจตำหนิและนินทาเบื้องสูง ทำงานเข้าทางปืนของคนตัวเบิ้มจำนวน ๗ คน อย่างจัง ทำให้มีข้ออ้างได้ต่อไปว่าประเทศไทยมีคน “ไม่ประสงค์ดี” ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นความชอบธรรมของพวกเขาที่จะปราบปรามคนกลุ่มนี้อย่างไม่ไว้หน้าอีกต่อไป

ดังที่ผมกล่าวมา นับว่าเป็นการ “หักเห” ทิศทางได้อย่างแยบยลอย่างยิ่ง
แยบยลอย่างไร ? นี้เป็นคำถามที่สำคัญยิ่งนักที่จะต้องทำความเข้าใจต่อปัญหา นั้นก็คือ แรกเริ่มเดิมที ปัญหาของประเทศเป็นปัญหาความผิดพลาดในระดับนักการเมือง โดยมีการกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อสัตย์สุจริต คดในข้อในกระดูก กระทำการคอรัปชั่นเชิงนโยบาย และกล่าวหาขายหุ้นให้แก่ต่างชาติ หาว่าไม่เสียภาษี ซึ่งเป็น “ความผิด” ใน ระดับพรรคฝ่ายค้านและพรรคฝ่ายรัฐบาล
ถ้าความขัดแย้งยืนอยู่ในระดับนี้ ก็จะแก้ได้โดยไม่ยาก

วิธีการแก้ก็คือ มีการแข่งขันทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหญ่ พรรคไหนชนะ พรรคนั้นเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาล พรรคไหนพ่ายแพ้ก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน

แต่ปัญหาของประเทศไทยแก้ยากอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากพวกขุนนางพากันบิดประเทศให้บูดเบี้ยวด้วยการ“ยกระดับ" ปัญหาจากระดับการเมืองธรรมดา เอาประชาชนไปขัดแย้งกับสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นการยกระดับที่แยบยลอย่างร้ายกาจและรุนแรงยิ่ง !

นี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ที่ได้มีข่าวขัดแย้งระหว่างประชาชนกับพระเจ้าแผ่นดิน โดยมีพวกตัวเบิ้ม ๗ คนพวกนั้น ทั้งผลัก ทั้งดันให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร เป็นตุ๊กตาตัวเอ้ ยืนตระหง่านเป็น “ขุนทัพ” เดินนำหน้าประชาชนให้ชนกับเจ้า แม้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะส่งเสียงปฎิเสธเพียงไรก็ไม่ยอมรับฟังส่งข้อความผ่านเว็ป Twitter @ Thaksinlive เพียงไรก็ไม่เป็นผล

เกิดเป็นวันขึ้นมา จะได้ยินถ้อยคำ ๒ – ๓ ประโยค ที่ดังออกมาจากปากของตัวเบี้ม ๗ คน กล่าวคือ
(๑) ให้ทักษิณ หยุดโฟนอินเสียที
(๒) ให้ทักษิณประกาศวางมือเสียเถิด
(๓) ทักษิณ อย่าหนีให้กลับมาติดเสียโดยดี
(๔) ต้องปราบทักษิณ พิษภัยร้ายกาจของสถาบันให้เสร็จสิ้น บ้านเมืองจึงจะปลอดภัย

ท่านผู้อ่านที่รักครับ ผมเขียนมาถึงจุดนี้ ก็พอจะอ่านออกแล้วใช่ไหมว่า “ตัวเบิ้ม ๗ คน” ที่ผมได้บอกใบ้แก่ท่านไปแล้ว ท่านจะอ่านออกว่าเป็นใครบ้าง ปัญหาก็จะเหลืออยู่เพียง ๒ ประเด็นที่ท่านอยากรู้

อยากรู้ว่า “ใคร...คนไหน” เป็นผู้จงรักภักดีแท้
และใคร (คนไหน) คือไอ้ตัวการที่ไม่จงรักภักดี

ท่านอ่านเข้าไปในมุ้งมหาอำมาตย์ กวาดสายตาไปรอบทิศ แล้วจะเห็นพวก ๗ คนโดยไม่ยาก บางคนหน้าตาเป็นคนหนุ่ม บางคนแก่งั่ก บางคนมีอำนาจราชศักดิ์ มีสายสะพายเต็มบ่า มากไปด้วยบริวาร ล้อมหน้าล้อมหลัง มีปาราชิก โพธิรักษ์คอยเป็นพระสังฆราชในดวงใจอีกด้วย
บอกใบ้ขนาดนี้ น่าจะรู้แล้วใช่ไหครับว่าคน ๗ คน ดังที่ว่าคือใครบ้าง ?!

จบบทที่ ๔๓ / สอาด จันทร์ดี

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 42 วสิษฐ์ ชี้ 2 พระองค์กำลังถูกทุกลาย ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำไห้

บทที่ ๔๒ ตอน : วสิษฐ์ชี้ ๒ พระองค์กำลังถูกทำลาย ..?! “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้”

ผมอ่านพาดหัวข่าว ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ร่ำให้ ขอร้องคนไทย อย่าได้ทะเลาะเบาะแว้ง ให้ความชื่นใจ “ในหลวง-ราชินี” บ้าง ซึ่งเป็น พาดหัวข่าวที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ “มติชน” ฉบับที่ ๑๑๔๙๑ ประจำ วันพุธที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

หมายเหตุ การเขียน “ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒” ในวันนี้ จะแบ่งเป็น ๒ ภาค เพื่อจะได้นำเอาความกระจ่างมาแสดงให้ครบ และให้ตรงตามประเด็นที่ต้องการ
ภาคที่ ๑ ว่าด้วยเนื้อหาของข่าว :

ผมขอเรียนว่า ผมอ่านข่าวด้วยความรู้สึกกระวนกระวาย-สับสน ต่อกระบวนข่าวที่เกิดขึ้น เพราะว่าตั้งแต่เกิดมา “ไม่เคยมีข่าว” เกี่ยวกับ องค์พระประมุขทรงทุกข์พระทัย อันเนื่องมาแต่ความขัดแย้งของคนในชาติ เลย แต่วันนี้ได้มีข่าวเช่นนี้เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ ทำให้ผมไม่อาจ นิ่งอยู่ได้ ผมขออนุญาตนำเอาข่าวนี้ขึ้นมาเขียน ในใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๒ เพื่อจะสื่อไปยังกลุ่มบุคคลที่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้หยุด การกระทำ

ใครบ้างที่เป็นภัยต่อสถาบัน ผมจะนำเอามาเสนอให้จบในบทนี้ ก่อนอื่น ผมขอคัดเอาข่าวหน้า ๑ ไม่มีการตัดต่อ ดังนี้



“สำนักราชเลขาธิการทำเว็บไซต์เผยแพร่พระราชกรณียกิจ พระราชินี ท่านผู้หญิงร่ำให้บอกในหลวง – พระราชินีทรงไม่ต้องการ อะไร แต่ทรงอยากเห็นบ้านเมืองอยู่รอด คนไทยสามัคคี อย่าขัดแย้งกัน พล.ต.อ. วสิษฐ์เผย ๒ พระองค์กำลังตกเป็นเป้าถูกโจมตีลบหลู่ของคนบาง พวก ระบุแม้ศัตรูไม่ถืออาวุธแต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลงผิด” จบข่าวหน้า ๑ (มีต่อหน้า ๕)

สำหรับข่าวในหน้า ๕ ผมขอคัดเอาบางท่อนของเนื้อข่าว แต่จะ รักษามิให้เกิดความสับสนเริ่มจากท่อนกลาง ดังนี้

“ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ จนบัดนี้ สมเด็จพระนางเจ้าทรงไม่เคยห่างจากพระองค์เลย อะไรที่เป็น พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วยตลอดเวลา ในสมัยที่ผมรับราชการ เบื้องพระยุคลบาทเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบจากพวกคอมมิวนิสต์ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่เคยหยุด ทรงงาน ไม่ทรงท้อถอยหวั่นเกรง ยังคงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในพื้นที่ ที่เป็นพื้นที่สีแดงด้วยความห่วงใยพสกนิกรของพระองค์” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าว

อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจกล่าวอีกว่า“ขณะนี้พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยบางคนบางพวกบางประเภท ตนกล้าเรียนให้ทราบ แม้ไม่มีการยืนยันจากรัฐบาล แต่ตนยืนยันจากความรู้ การสังเกตของตนเอง พบว่าสิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ตอนนี้มีเว็บไซต์ เถื่อนที่กำลังทำอย่างนี้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าฯ อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดยั้ง และขอเตือนให้ทราบว่า ผู้ที่เราเคารพสักการะ ผู้ที่เป็นผู้สืบทอดการปกครองแบบราชาธิปไตย มากกว่า ๗๐๐ ปี กำลังถูกทำลายโดยคนพวกหนึ่ง สิ่งที่คนไทยต้อง ตระหนักและช่วยกันคือปกป้องสถาบันที่อยู่คู่เมืองไทย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ขึ้นย่อหน้า...
“มาวันนี้ ขอวิงวอนท่านทั้งหลายว่า แม้ศัตรูจะยัง ไม่ถืออาวุธ แต่กำลังใช้วิธีย้อมหัวของเรา ย้อมหัวใจของเราให้หลงผิด สิ่งที่ทำได้คืออย่าทำให้พี่น้องลูกหลานเข้าใจผิด แต่ต้องทำความเข้าใจ และเผยแพร่สอนผู้อื่นให้รู้ว่าเมืองไทยอยู่ได้เพราะ ๓ สิ่งนี้ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราต้องทำ ถ้าเราไม่ทำ เราจะเกิดสงครามที่สาหัสมาก อย่าทำให้เกิด แต่ทำได้ด้วยการถ่ายทอดให้ทุกคนรู้ว่า พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงทำอะไรมาแล้วกว่า ๖๐ ปี ให้เราทุกคนช่วยกัน” พล.ต.อ. วสิษฐ์กล่าวเอาไว้ในท่อนกลาง

จากนั้น ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ที่ถวายงาน รับใช้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มาประมาณ ๔๐ ปีกล่าวว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯเสด็จไปเยี่ยมราษฎรตามหมู่บ้านต่าง ๆ ของประเทศ ไทย ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ ไม่ว่าจะทุรกันดารอย่างไร ทั้งสองพระองค์ ทรงเสด็จไปทุกหนทุกแห่ง พระองค์จะสอนเสมอว่าให้คุยกับราษฎร อย่างเคารพนบนอบ คิดว่าเขาเป็นพี่น้อง

ผมขออนุญาต “เว้น” ไป ๑ ท่อน
ขอขึ้นท่อนสำคัญว่า “ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์กล่าวพร้อมกับร่ำให้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯทรงทำทุกอย่าง ให้กับคนไทย ทรงทำมาอย่างยาวนาน แต่ทุกคนได้มีความคิด ได้เล่าต่อกัน หรือไม่ ทุกพระราชกรณียกิจ ทุกโครงการของพระองค์ไม่เคยหนีจาก ประชาชน แล้วไม่เคยเอาอะไรมาเป็นของพระองค์เลย ทรงทำให้กับแผ่นดิน ทรงทำให้ประชาชน”


ภาคที่ ๒ ว่าด้วยบทวิพากย์:

ว่าด้วยการร่ำให้ของท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ดังที่เป็นข่าว ว่าเป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญ ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนชาวไทยพากัน “ร่ำให้” นับครั้งไม่ถ้วนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งในยามสมเด็จย่าทรงจากไป สมเด็จพระพี่นางก็จากไปด้วย และ ยิ่งในคราวองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประชวร อยู่ในความดูแล ของหมอที่โรงพยาบาลศิริราช ก็ปรากฏว่าประชาชนน้ำตานองหน้า เฝ้าโรงพยาบาลหนาแน่น ปรากฏเป็นข่าวติดต่อกันทุกวัน

จึงวิพากย์ วิจารณ์ได้ด้วยความเป็นจริงว่า ภาพของประวัติศาสตร์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันล้ำลึกระหว่างประชาชนกับ พระเจ้าแผ่นดิน แนบแน่นและแสนจะอบอุ่น โดยไม่เคยมีคนไทย “คนไหน” กระทำอันไม่บังควรทั้งต่อหน้าและลับหลัง โดยเฉพาะ คนยากคนจนนั้นพากันกราบไหว้ สักการะพระเจ้าแผ่นดินเป็นของสูง คนที่ทำมาค้าขาย จะติดตั้งรูป ร. ๕ เอาไว้ในร้านให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยสมความปรารถนา

ในส่วนของสมเด็จพระนางเจ้าฯ อันเป็นพระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่างก็เป็นเครื่องหมายของวันแม่ (๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๒) ดังที่ประชาชนทั้งหลายทราบดี

การที่ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ร่ำให้ออกมานั้น เป็นเรื่องเดียวกัน กับน้ำตาของประชาชน

สำหรับ “พล.ต.อ. วสิษฐ์ เดชกุญชร” ที่ได้กล่าวออกมาทั้งหมด ก็ไม่ผิดเลยที่ได้นำเอาความจริงมายืนยันว่าขณะนี้ พระบาทสมเด็จ- พระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ กำลังตกเป็นเป้าของการลบหลู่ การให้ร้าย การโจมตีอย่างโจ๋งครึ่ม โดยคนบางพวก บางประเภท

เหตุไรรัฐบาลจึงปล่อยปะละเลย (ด้วยเล่า) ! ผมขอนำข้อเท็จจริงในภาคที่ ๒ ว่าด้วยการวิพากย์ มาเสนอให้ท่าน ทั้งหลายได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าอะไรคือต้นเหตุของปัญหา และอะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ปัญหานี้เกิดความรุนแรงขึ้นมา จนอาจเป็น เหตุให้เกิดสงครามอันสาหัส ?!

ประเด็นที่ ๑ ไม่ว่าจะอ่านข่าวในรูปไหนและวิธีใด ข่าวที่ปรากฏ ออกมาในครั้งนี้ ได้พุ่งเป้ามาที่ “คนเสื้อแดง” ร้อยเต็มร้อย ทั้งนี้เนื่องจาก การใช้คำพูดว่า “แม้ศัตรูไม่ถืออาวุธ แต่ได้ใช้วิธีย้อมหัวใจลูกหลานให้หลง ผิด” ย่อมหมายถึงการต่อสู้แบบอหิงสา ไม่ใช้อาวุธ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ซึ่งมีอยู่เพียงกลุ่มเดียว คือกลุ่มของ นปช. (แนวร่วมประชาชนต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ) หรือรู้จักกันในนามของคนเสื้อแดง – แดงทั้งแผ่นดิน [Red in the Land]

ประเด็นที่ ๒ พล.ต.อ. วสิษฐ์ และท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ไม่ได้ หมายถึงพวกอำมาตย์ / หรือพวกพรรคประชาธิปัตย์ หรือพวกพันธมิตร- สันติอโศก และไม่ได้หมายถึงพวกราชชนิกุล-ไฮโซทั้งหลาย เมื่อไม่ได้ หมายถึงใครเลยนอกจากคนเสื้อแดง

จึงเป็นการมุ่งที่จะพูดให้ สังคมไทยทั้งประเทศเข้าใจอย่างกว้างขวางว่า ให้ระวังคนเสื้อแดงเอาไว้ ?!

ผมอ่านข่าวและวิจารณ์ออกมาเช่นนี้ พบตัวเองตกอยู่ในกลุ่ม ของคนเสื้อแดง ย่อมไม่พ้นที่จะตกเป็นเหยื่อของพวกเผด็จการ ที่คิดแต่ จะปราบปรามเพื่อจะได้รักษาความมั่นคงให้แก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ผมขอกล่าวว่าพวกท่านได้กระทำผิดและดำเนินการผิดพลาด อย่างใหญ่หลวง !
พวกท่านเป็นผู้ก่อปัญหา ทำให้สมเด็จพ่อของเราต้องทรงทุกข์พระทัย ?
ท่านอยากฟังไหมเล่าว่า พวกท่านได้กระทำความผิดอย่างไรบ้าง

ผมขอกล่าวว่า “ถ้าพวกท่านตั้งใจที่จะทำลายทักษิณให้พ้นไปจาก สนามการเมืองในประเทศไทย” ท่านทำได้อยู่แล้วจากคดีทุจริตล้วนๆ ถ้ามีหลักฐานก็เอาเข้าคุกได้

แต่พวกท่านเกิดบ้าดีเดือดขึ้นมา ด้วยการประกาศในสภา ผู้แทนราษฎรว่า พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี ทำให้สถานะของข้อขัดแย้งเปลี่ยนจากคดีทางการเมืองขึ้นไปสู่การ แก่งแย่งอำนาจระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับองค์ระมหากษัตริย์ ในกรณีดังกล่าวนี้ แม้ว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้แต่งตั้ง นายความฟ้องหมิ่นประหมาท “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” แต่ศาลก็ ไม่รับฟ้อง จึงทำให้ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ มีข้อหาร้ายกาจติดตัว สุดที่จะ สลัดให้หลุดไปได้

พวกอำมาตย์มิได้หยุดอยู่เพียงการกล่าวหาเท่านั้น พวกท่านได้ ขัดขวางการยื่นถวายฎีกาและกล่าวหาการถวายฎีกาว่าเป็นการก้าวล่วง พระราชอำนาจ (ผมถ่ายภาพแผ่นป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ของรัฐบาล เอาไว้แล้ว) !

การคัดค้านขัดขวางเป็นไปอย่างร้อนแรง มีการระดมให้ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมถึงการให้ข่าวต่อต้านอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะไม่ให้หนังสือถวายฎีกาขึ้นไปถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การกระทำของพวกอำมาตย์เผด็จการ ได้ก่อให้เกิดความแค้นเคืองแก่ราษฎร ทีรักความเป็นธรรมอย่างยิ่ง คนกลุ่มนั้นคือ “คนเสื้อแดง” แดงทั้งแผ่นดิน

ผมขอเล่าให้ฟังว่า ราษฎรไม่มีใครเลยที่จะแค้นเคืองสมเด็จพ่อ ของเรา เพราะว่าเขาก็รักของเขา เขากราบไหว้อยู่ทุกวัน จะแค้นเคืองได้ อย่างไร
เขาแค้นเคืองพวกคุณต่างหาก ...รู้หรือเปล่า ? สถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ ที่ว่าประเทศไทจะเกิดสงครามสาหัส นั้น ขอให้รู้เอาไว้ซะด้วยว่ามันจะเกิดจาก “ความชั่ว” ของอำมาตย์ชั้นเลว ที่พยายามก่อสงครามทุกวี่ทุกวัน

ถ้าต้องการให้ประเทศไทยสงบลงในพริบตา ย่อมทำได้ ๒ แนวทางคือ
( ๑ ) ! ให้ “สร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติที่เป็น ประชาธิปไตย” กำหนดให้แล้วเสร็จภายใน ๙๐ วัน หรือไม่ก็... รีบสนับสนุนให้หนังสือถวายฎีกา ให้ได้รับความสำเร็จกลับมาเถิด แล้วความสงบจะเกิดขึ้น
( ๒ ) ! ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเถิดครับ แล้วจะได้พบกับทางออกทีสว่างไสวอยู่เบื้องหน้า ผมขอกล่าวว่า “อย่ามามัวกรีดน้ำตาหลอกชาวบ้านอยู่เลย” ถ้ายังมัวแต่กรีดน้ำตา แถมมีความโกรธในข้อเขียนของผมอย่างรุนแรง ไม่มีการ “วิภาค” ก็ย่อมจะ “วิพากย์” ปัญหาไม่ออก (ผมได้เสนอความเห็นเช่นนี้เอาไว้ในบทที่ ๔๑)

ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ กับ พล.ต.อ. วสิษฐ์ จะมีโอกาสได้พบข้อเขียนนี้ไหมหนอ

ท่านผู้ใดอยู่ใกล้ชิด กรุณาโหลดเอาไปให้อ่านด้วยครับ ?!

จบบทที่ ๔๒ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 41 ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ

บทที่ ๔๑ ตอน : ระวังแผ่นดินจะลุกเป็นไฟ ?!

กรณีรัฐบาลประกาศ กม. มั่นคงในเขตสุสิต กทม. เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ มีค่าเท่ากับการประกาศกฎอัยการศึกในยามภาวะ สงคราม ทำให้คนเสื้อแดงเกิดความรู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ อย่างรุนแรง เพราะมันเป็นการจงใจขัดขวางคนเสื้อแดงที่จะชุมนุม ใหญ่อีกครั้งใน วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒

ด้วยเหตุนี้ผมจึงขอมอบบทความเรื่องนี้ ถึง ๙ แห่ง อันประกอบด้วย
(๑) นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
(๒) สภาความมั่นคงแห่งชาติ
(๓) กระทรวงกลาโหม
(๔) กระทรวงมหาดไทย
(๕) ผู้อำนวยการ กอ. รมน. และสันติบาล
(๖) อำมาตย์ใหญ่ และประดา คณะรัฐมนตรี
(๗) อธิการบดี ๒๖ มหาวิทยาลัย และคณาจารย์ทั้งหลาย
(๘) สนธิ ล้มทองกุล “เทวทัตโพธิรักษ์”พลตรี จำลอง ศรีเมือง !
(๙) สื่อกระแสหลักทั้งหลาย ?!

ขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่ในวงเล็บทั้ง ๙ โปรดระลึกเอาไว้ว่า ถ้าประเทศไทยจะเกิดการเข่นฆ่ากันขึ้นมาจนแผ่นดินลุกเป็นไฟก็เพราะ การกระทำอันชั่วช้าของพวกท่าน และหากแม้นว่าพวกท่าน “ไม่ตระหนัก ว่าตัวเองได้กระทำชั่วช้า” แต่กลับตั้งหน้าตั้งตาที่จะเล่นงานคนเสื้อแดง เพราะเข้าใจว่าคนที่ชั่วช้าคือคนเสื้อแดงทั้งหมดและ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก็ยิ่งจะเป็นการตอกลิ่มเข้าไปในหัวใจของ “คนเสื้อแดง” ให้เกิดการแบ่งฝัก แบ่งฝ่ายกันมากขึ้น

ถ้ายังตั้งหน้าตั้งตา “ตอกลิ่ม” ด้วยความเชื่อที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ยิ่งจะเป็น การเร่งวันเร่งคืนให้คนไทยใกล้จะถึงจะถึงจุดระเบิดเข้ามาไปทุกที

บทความชิ้นนี้เขียนมาเตือนพวกท่านในลำดับที่ ๔๑ !

ขอเริ่มว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดมาจากการใส่ร้ายป้ายสี “พรรคไทย รักไทย” และ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ มาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ยอมเลิก พวกท่านได้ตั้งตัวเป็นโจทย์เล่นงานคู่แข่งทางการเมืองหวังจะ ทำลาย [Destroy] ให้สิ้นซาก ซึ่งตอนแรกก็ได้ใช้ข้อกล่าวหาว่า ได้กระทำทุจริตต่อหน้าที่ หาว่า “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” ข้อกล่าวหามิได้หยุด เพียงแค่นี้ พวกท่านได้ใช้อำนาจเผด็จการ ทำการยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อันเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ อย่างร้ายแรง มีโทษถึงประหาร

พวกท่านฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการขึ้นมา พวกท่านคงจำได้ดีว่าแม้จะกระทำหลายวิธีแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจ ได้รับชัยชนะ จึงอาศัยวิธีการหักดิบ เอาจนพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ ได้เป็นรอง นายกรัฐมนตรี และได้ดูแลความมั่นคง !
พวกท่านได้ยกระดับ “ข้อกล่าวหา” ก้าวจากเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ขึ้นมาเป็นความไม่จงรักภักดี เป็นการ “ยกระดับ” ข้อกล่าวหาให้เกิดกระแส ข้อขัดแย้ง เปลี่ยนจากกระแสของชาวบ้านขึ้นมาเป็นกระแส “ประชาชน กับพระเจ้าแผ่นดิน” ซึ่งพวกท่านคิดว่าถ้ายกระดับขึ้นมาเช่นนี้ จะทำให้ คนเสื้อแดงยอมแพ้แต่โดยดี

เชอะ ! เป็นไง ...คนเสื้อแดงยอมแพ้หรือเปล่า ?เปล่านะ คนเสื้อแดงเขาไม่ได้ตกหลุมพรางขึ้นไปขัดแย้งกับ พระเจ้าแผ่นดินตามที่พวกท่านได้ขุดหลุมขวางหน้าเอาไว้ แต่ที่พวกคนเสื้อแดง ต้องประกาศเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ก็เพราะพวกท่าน พากันทำความชั่วไม่เลิกยังไงล่ะ รู้ตัวหรือเปล่า ?

เช่นพวกท่านออกมาขวางหนังสือถวายฎีกาทำไม ? ถ้าพวกท่านไม่ขัดขวาง...ไม่กระทำแบบคนไม่หวังดี ? คนเสื้อแดง เขาไม่ออกมาเคลื่อนไหวดอกครับ เพราะหัวใจของคนเสื้อแดงใจจดใจอยู่กับ หนังสือถวายฎีกาที่หวังว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้รับพระเมตตา ทรงประทานโอกาสให้ได้กลับมาแก้ปัญหาของชาติ คนเสื้อแดงจะพากัน รอฟังฎีกาอยู่ในที่ตั้ง ไม่จำเป็นต้องแสดงพลังอะไรเลย

ขอถามพวก “วงเล็บ ทั้ง ๙” ว่าพวกท่านไม่รู้ตัวเลยเชียวรึว่า ได้ขัดขวางหนังสือถวายฎีกามาตั้งแต่ต้น แม้กระทั่งในขณะนี้ก็ยังไม่ยอมเลิก ขัดขวาง พวกท่านได้ยกระดับ “การขัดขวาง” จากข้อขัดแย้ง “ทางใจ” ไปสู่ความขัดแย้งทาง “ความคิด” อันเป็นการยกระดับที่จะก่อให้เกิด ความบาดหมางระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน

การประกาศ กม. มั่นคงในเขตดุสิต คือการยกระดับที่เป็นกลยุทธ์ ที่แฝงเร้น ส่อไปในแววปรารถนาดีแต่ประสงค์ร้าย ?!

ผมขอกล่าวว่าสถานการณ์ ณ ห้วงเวลานี้ มีคนอยู่ ๒ กลุ่ม

กล่าวคือกลุ่มหนึ่ง (พวกเผด็จการ) กล่าวหาคนอีกกลุ่มหนึ่งว่า “ไม่มี” ความจงรักภักดี การกล่าวหาเช่นนี้ได้ยัดเยียดความโกรธแค้นชิงชัง ให้เกิดขึ้นในหัวใจดั้งเดิมของคนไทยทุกคนทั้ง ๆ ที่ไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน แม้ในวันนี้ก็ยังไม่มีใครเขา “ขาดความจงรักภักดี” แต่พวกเผด็จการยังคง ตอกย้ำ กล่าวหาพวกคนเสื้อแดงว่าไม่รักเจ้า

ผมอยากจะถามว่าพวกเขา “ยัดเยียด” ให้เกิดกระแสเช่นนั้นก็เพราะ พวกเขาหลงเข้าใจผิดไปกับ “กลลวง” ของคนที่เกลียดชังสังคมเก่า ที่แฝงตัวอยู่ ในหมู่อำมาตย์ พวกเขามีหัวใจปรารถนาอยากล้มล้างสังคมเก่า จึงหาวิธีการ ล้มล้างด้วยการ “ยัดเยียด” ข้อหา เพื่อจะได้สร้างกระแสกดดันให้เกิดความ ขัดแย้งขึ้นมา จะได้เป็นต้นเหตุให้คนไทยทะเลาะกันเอง

การยัดเยียดอย่างเดียวยังไม่พอ เพราะมันไม่ช่วยให้เกิดการกดดัน ที่ร้อนแรง ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ “ไม้แข็ง” ประกาศ กม. มั่นคง จะได้เกิด ความร้อนแรงมากมาย

ถึงแม้ว่าจะประกาศ กม.ความมั่นคงแล้วก็ตาม หากไม่สามารถกดดัน ให้เกิดเรื่องนี้ได้ พวกเผด็จการก็จะหาทาง “ยกระดับ” ให้ร้อนแรงยิ่งขึ้น นั้นก็คืออาจจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม เช่นการใช้แก๊สน้ำตา หรือการใช้ รถทหารตีคนเสื้อแดงให้ถอยร่น โดยอ้างว่าเป็นการสลายฝูงชน แล้วก็อ้าง ต่อไปว่าเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

มันเป็นความชั่วช้าที่พวกมันทำกันเอง ผมอยากเขียนทบทวนความทรงจำว่า ปัญหาที่คนเสื้อแดงเขาร้องหา ไม่หยุดหย่อน ได้แก่การร้องหาความยุติธรรม แต่พวกเผด็จการทำเป็น หูทวนลม ไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องในทุกกรณี ดังจะเห็นได้จากการแต่งตั้ง นายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมไปถึง การตั้ง “แกนนำ” พันธมิตรฯเข้าร่วมทำงานกับรัฐบาล ย่อมแสดงให้เห็น ถึงการใช้อำนาจเถื่อนด้วยหัวใจเผด็จการที่ไม่สนใจต่อคำทักท้วง

คนเสื้อแดงทักท้วนเรื่องความไม่เป็นธรรมด้วยความเจ็บปวดสุด จะพรรณนา จะทักท้วงด้วยเสียงอันดังเพียงไร ก็ไม่ผิดกับเสียงแมลงหวี่ แมลงวัน อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส

ประเทศไทยอันเป็นที่รักจึงเต็มไปด้วยความสับสน ความสับสนในครั้งนี้ จะยังไม่ร้ายแรงดอกครับ เพราะคนเสื้อแดง เขาจะไม่บุกไปบ้านพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รวมทั้งคนเสื้อแดงจะไม่กระทำ อะไรรุนแรงต่อบ้านเมือง

แต่การแห่ออกมาด่าแหลก ...ห้ามไม่ได้ ! ลำพังแค่ด่าแหลก จะไม่ทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟดอกครับ แต่ที่ จะลุกเป็นไฟตามที่ผมได้ตั้งชื่อตอนที่ ๔๑ เอาไว้ว่า “ระวังแผ่นดิน จะลุกเป็นไฟ” มันจะเกิดจากความชั่วช้าของพวก ๙ วงเล็บพากัน โหมกระหน่ำ เรียกร้องให้ปราบปรามคนเสื้อแดงให้สิ้นแผ่นดิน

เสียงปืนดังขึ้นเมื่อใด
คนเสื้อแดงถูกยิงตายเมื่อใด
ปราบปรามเหมือนเมืองเถื่อนเมื่อใด

เมื่อนั้นแล...แผ่นดินอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทยทุกคนจะเปลี่ยน เป็นสนามรบ คนไทยจะฆ่ากันเองราวกับว่าไม่ใช่คนที่เกิดมาจากสายพันธุ์ เดียวกัน วิธีแก้ปัญหานี้มีอยู่ ๒ แนวทาง ดังนี้

หนึ่ง : ให้สร้างกฎหมายปรองดองระบอบประชาธิปไตยขึ้นมา ทำหน้าที่ปรองดองคนในชาติให้ได้ หรือ
สอง : ยุบสภา
การ “ยุบสภา”

จะช่วยให้หัวอกที่เดือดปุดๆลดอุณหภูมิลงมา อันจะเป็นการระบายความร้อนให้บินออกไปจากหม้อต้มน้ำร้อน ผมขอเรียกร้องให้ยุบสภา โดยด่วน เพราะว่าถ้าขืนปล่อยไว้ให้รัฐบาลเส็งเคร็ง รับผิดชอบประเทศต่อไป ประเทศไทยจะไม่พ้นแผ่นดินลุกเป็นไฟ ?!

จบบทที่ ๔๑ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 40 ใครอ้างตัวเป็น พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ.

บทที่ ๔๐ ตอน: ใครอ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง หน. ยก. ทบ.
กรมยุทธการทหารบก

สำเนาถึง
(๑) ประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ

(๒) ผู้อำนวยการสำนักนายกรัฐมนตรี
(๓) ผู้อำนวยการ กอ. รมน.
(๔) อำมาตย์ใหญ่ และประดา ครม. รัฐบาลอภิสิทธิ์
(๕) อธิการบดีและคณาจารย์ทั้งหลาย
(๖) พันธมิตร และ “สันติอโศก” ?!!

ท่านผู้อ่านที่ได้อ่านใบปลิวกู้ชาติผ่านไปแล้วถึง ๓๙ บท นับว่าท่าน ได้สละเวลาเข้ามาร่วมคิดร่วมเสวนาปัญหาบ้านเมืองกับผม ๒ คน (ผึ้งกับสอาด) ด้วยการเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผมมีใจที่จะทำงานต่อไปเรื่อยๆจนกว่า จะถึงเวลาอันเหมาะ ซึ่งไม่ทราบว่าเมื่อไหร่

วันนี้ ผมส่งใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๔๐ มาให้ขอรับ แต่ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้พิสดารกว่าทุกฉบับ เนื่องจากมี “คนอ้าง ตัวเองเป็นพันโท” เขียนเมล์ส่งให้คุณผึ้ง แล้วคุณผึ้งก็ส่งต่อให้ผม ผมได้อ่าน ตั้งแต่ต้นจนจบ จับใจความได้ว่าความเห็นแบบนี้เป็นอันตราย ต่อประเทศ อย่างร้ายแรง เพราะอาจถูกขยายผลไปสู่ความแตกแยกอันจะก่อให้เกิด สงครามกลางเมืองระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ผมจึงถือโอกาส วิจารณ์ พร้อมกับได้ “คัด” เมล์ทั้งฉบับเอามาแสดงเอาไว้ พร้อมกันนี้ ผมใคร่ขอมอบใบปลิวกู้ชาติบทนี้ให้แก่ (วงเล็บทั้ง ๖ แห่ง) ขอให้โหลดเอาไปพิเคราะห์ ศึกษาข้อเท็จจริง แล้วใช้คณะทำงานให้ช่วยกัน ถอดรหัสดูว่า “ใครกันแน่” คือตัวการก่อปัญหาให้เกิดขึ้นกับประเทศ ของเรา ?!

เพื่อความเข้าใจง่าย ผมได้คัดเมล์ของคนที่อ้างตัวเป็น พ.ท. เขมพัฒน์ รถทอง มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ดังต่อไปนี้ :


พ.ท. เขพัฒน์ รถทอง หน. ยก. บท. กรมยุทธการทหารบก
โปรดรู้ทันผู้คิดร้ายต่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา

ทินกร เกษมสรร


ท่านคงไม่ทราบดอกว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงรวบรวมรายชื่อเพื่อการ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่อดีตนายกรัฐมนตรี ท่านคงคิดว่า พวกเขาต้องการเพียงให้ทักษิณกลับมามีอำนาจ เพื่อจะได้ผู้นำที่มี ความคิดริเริ่มสูง

แท้ที่จริงแล้ว นั่นมันเป็นเป้าหมายรอง เป้าหมายหลักคือ ยุยงให้เกลียดชังในหลวงของเรา อย่างแยบยลที่สุด ยากที่ใครจะรู้ทัน ข่าวลึกจากคนสนิททักษิณ (ซึ่งกำลังลำบากใจ) ยอมกลับใจเปิดเผยว่า

๑. ประชาชนยังรักทักษิณเป็นสิบล้านคน ไม่ใช่จิ๊บจ๊อยอย่างที่ คนเมืองหลวงประมาณการ เขาเลื่อมใสทักษิณในการริเริ่มแก้ปัญหาให้คนจน เช่น ๓๐ บาทรักษาทุกโรค, หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์, กองทุนหมู่บ้าน ๑ ล้าน เป็นต้น ถ้าเทียบกับพรรคประชาธิปัตย์เทียบกันไม่ติดเลย ไม่มีความ ริเริ่มเพื่อคนจนอย่างเป็นรูปธรรม

๒. เมื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษแก่ทักษิณ ผู้รักทักษิณ ต้องการให้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เพราะเขารักของเขา

๓. ขณะนี้มีการปลุกระดม ทำให้ประชาชนที่รักทักษิณจำนวนมาก พูดกันต่อ ๆ ไปอย่างกว้างขวาง “จะดูใจในหลวง” แปลว่าเกิดสงครามจิตวิทยา ขึ้นแล้ว ให้มีการชั่งน้ำหนักขึ้นว่าจะเทิดทูนใครดี ซึ่งความคิดเช่นนี้เป็นการ ประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างแยบคายที่สุด

๔. หากผลออกมาถูกใจเสื้อแดงทักษิณก็ได้ คือได้กลับมามีอำนาจ หากผลออกมาตรงข้ามทักษิณก็ได้ ได้ทำลายสถาบันเบื้องสูงแยบคายเป็นที่สุด เป็นการให้ผลทางจิตวิทยา สถาบันเบื้องสูงจะถูกดึงลงมาเทียบกับทักษิณ ให้ประชาชนเลือกข้างอยู่เงียบๆในใจ ซึ่งในทางจิตวิทยาถือเป็นภัยร้ายแรงต่อสถาบันกษัตริย์

๕ . ขอท่านทั้งหลายจงทันเกมทักษิณ ท่านจำได้ไหม นักการเมือง อื่น ๆ อาจซื้อเสียง ซึ่งเสี่ยงสารพัด แต่ทักษิณซื้อพรรคเสียเลย ใครจะ ฉลาดกว่ากัน (ถึงบทนี้มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ตกหล่น เขียนเอาไว้ว่า &Nbsp;ไม่ทราบว่าแปลว่าอย่างไร) เราอ่านทักษิณอย่างเท่าทันที่ได้ยินได้ฟัง คิดให้ลึก ๆแล้วจะรู้เท่าทันทักษิณ

๖. ต้องกราบขอโทษบรรดาเสื้อแดงทั้งหลาย หากท่านคิดจะดึง ทักษิณขึ้นมาให้ประชาชนเลือกข้างระหว่างผู้มีพระคุณสูงสุดต่อชาติเรา กับทักษิณ เรากับท่านคงจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ หากท่านไม่ทราบกล ของทักษิณและบริวาร ที่กำลังรับจ๊อบทำงานเพื่อทักษิณ ขอจงโปรดทราบ ทราบแล้ว ท่านจงถอนตัว หรือรับใช้เขาอยู่ก็ตามใจเถิด แต่เราถือว่าท่าน กำลังประทุษร้ายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราและของท่านเอง

(จบข้อความ)

ต่อไปนี้เป็นการ “วิสัชนา” ข้อความของผู้ที่อ้างตัวเป็น “พันโท” จะเป็นจริงหรือไม่จริงไม่แปลก แต่ที่แปลกก็คือ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ทำไม จึงลืม “ความหลัง” อันเป็นมูลเหตุของปัญหา ทั้งๆที่ไม่น่าจะลืม ผมจึงของทบทวน ดังนี้

หนึ่ง : ขอถามหน่อยว่ายังจำได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร สามารถทำให้ประเทศไทยทั้งประเทศก้าวพ้นจาก ปัญหาวิกฤติ นำชาติไปสู่ความมีหน้ามีตาในระบอบประชาธิปไตย อันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์ประมุข ไม่เคยมีข่าวระแคะระคายแม้แต่ครั้งเดียวว่าทักษิณได้กระทำตัว “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ไม่เคยมีอาการ กระด้างกระเดื่องต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ว่ากรณีใด ๆ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าแผ่นดิน เป็นประมุขสูงสุดของประเทศ อันชาวโลกรับรองอยู่แล้ว

กล่าวให้ชัด ตัวของทักษิณไม่เคยขัดแย้งกับสถาบันไม่ว่ากรณีใด ๆตัวทักษิณ ได้บริหารประเทศจากการเลือกตั้งตามระบอบ ประชาธิปไตย เมื่อทักษิณ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทุ่มเทแก้ปัญหาของชาติ กำลังแก้ปัญหา ความยากจนอย่างเร่งรีบที่สุด และได้ผลเกินคาด สุดจะพรรณนา

สอง : ขอทบทวนความจำว่า ขณะ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ กำลังสร้างงานให้แก่มหาชน ทำงานอย่างไม่เห็น แก่เหน็ดแก่เหนื่อย แต่ได้ถูกพรรคประชาธิปัตย์ พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย และสันติอโศกเล่นงานอย่างสาดเสียเทเสีย

ต่อมา ก็ได้ถูกทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ยึดอำนาจ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๒ ซ้ำเข้าไปอีก ทหาร(พวกของ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง นี่แหละ)ฉีก รัฐธรรมนูญทิ้ง ไปเอานายกรัฐมนตรีนอกระบบมาปกครองประเทศ อ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาแล้วพากันสร้างรัฐธรรมนูญเผด็จการเอาขึ้น มาเป็นเครื่องมือให้แก่พวกของตัวเอง มาจนถึงวันนี้

สาม : ต่อมา พวกท่านคงทราบกันดีว่า หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบ ตัวทักษิณหมดอำนาจทางการเมืองพร้อมกันกับพวกบ้านเลขที่ ๑๑๑ พวกไทยรักไทยเก่าพากันตั้ง “พรรคพลังประชาชน” ต่อมาชนะการเลือกตั้ง ได้นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

ในสถานการณ์ตรงนี้ คนของฝ่ายทักษิณ ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่า การทำลายจะยังมีอยู่ ทุกคนคิดแต่ว่าเมื่อ ๑๑๑ คนสิ้นสภาพไปแล้ว คนใหม่ เข้ามาทำงานก็น่าจะได้ทำงานตามที่ประชาชนยังศรัทธาเลื่อมใส แต่ผลกลับเป็นตรงกันข้าม พวกเดิมยังคงตามราวีอย่างร้ายกาจและ รุนแรงกว่า สุดจะอธิบายได้

รู้ความจริงว่า พวกเขายึดถนนสะพานมัฆวาน ใช้กองกำลังจัดตั้ง เอาไปบุกสถานีโทรทัศน์ NBT แล้วยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินดอนเมือง บุกถล่มยิงวิทยุชุมชนคนแท๊กซี่ ที่ปากซอย ๓ถนนวิภาวดี ยึดสนามบินสุวรรณ ภูมิ ใช้อาวุธ (ระเบิดปิงปอง) ต่อสู้กับตำรวจ แล้วกล่าวหาตำรวจว่าเข่นฆ่า ประชาชน การกระทำของพวกเขาได้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศย่อยยับ และ “ยับเยิน” น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง

ความวุ่นวายน่าจะจบลง เมื่อทักษิณหมดอำนาจ แต่มันไม่จบ มันวุ่นวายต่อ ดังที่ทุกคนทราบ ผมขอเรียนว่า“ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงที่การเลือกตั้งใหม่”ปล่อยให้ การเมืองเดินไปตามวิถีทางประชาธิปไตย ให้นายสมัคร สุนทรเวช ได้ใช้ฝีมือ บริหารประเทศด้วยความสงบและราบรื่นผมก็เชื่อว่า “เสื้อแดง” จะไม่แดง เต็มแผ่นดินอย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆในประเทศไทย เลย แต่ความขัดแย้งมันกำเริบขึ้นมา เกิดจากสันดานชั่วของพวกเผด็จการ ที่จองเวรไม่เลิก ทำให้คนเสื้อแดงฮึดสู้ เมื่อเขาฮึดสู้ ความร้อนแรงจึงระเบิด ขึ้นมา (ยังไงล่ะ) ?!

สี่ : ผมขอทบทวนความจริงให้ปรากฏต่อไปว่า ได้มีการวางแผน ที่จะสกัดกั้นอย่างเป็นระบบ มุ่งหน้าที่จะไล่ล่าเอาทักษิณมาทำลายให้ได้ (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)โดยอ้างว่าทักษิณเป็นนักโทษ พวกท่านต้องถามเอากับตนเองว่าทักษิณ เป็นนักโทษจากมาตรฐานกฎหมายเผด็จการที่พวกท่านสร้างขึ้นใช่หรือ ไม่ พวกท่านตั้งใจสกัดทุกรูปแบบใช่หรือไม่ ?

ห้า : จากข้อเท็จจริงทั้งหมด ได้ทำให้คนไทยที่รักความเป็นธรรม ทนดูต่อไม่ได้ พวกเขาลุกพรวดออกมาจากที่นอน แบกสังขารออกมา ร่วมต่อสู้ เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ประเทศแต่ไม่มีใครคนไหน ให้ความสนใจเลย ตรงข้ามกลับพากัน “ขย่มร้ายแรง” ยิ่งขึ้น (เหมือน ที่ พ.ท.เขมพัฑฒ์ รถทอง หน.ยก.ทบ. ได้พากเพียรกระทำอยู่ในขณะนี้)

หก : ข้อความดังต่อไปนี้ ท่านยังจำได้ไหม
(๑) พันธมิตรประกาศในทำเนียบรัฐบาลว่ามีแต่คนเสื้อเหลืองที่รักเจ้า ส่วนพวกเสื้อแดงไม่มีความจงรักภักดี
(๒) นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี อภิปรายในรัฐสภาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี เมื่อพ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร แต่งตั้งทนายฟ้องคดีหมิ่นประหมาทนายสุเทพ ศาลไม่รับฟ้องโดย วินิจฉัยว่า นายสุเทพกล่าวออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
(๓) องคมนตรีท่านหนึ่ง ได้กล่าวหา พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้กล่าวหา

เจ็ด : ต่อจากนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้กล่าวคนเสื้อแดงว่าเป็น คอมมิวนิสต์ ?!!

แปด : ผมอยากสอบถามความเข้าใจฝ่ายบ้านเมืองว่า ตัวเองได้ อำนาจมาโดยมิชอบ ใช้วิธีการ “หักดิบ” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี มีงูเห่า ภาค ๒ แล้วเอาแต่ขึ้นภาษี กู้เงิน ๘ แสนล้าน แถมไปขอกู้เงินจากผู้สูงอายุ ในระบบการออกพันธบัตร เอาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ไปจ่ายส่งเดช หวังจะโกย คะแนนนิยม ให้เงินเลี้ยงชีพแก่ผู้ชราเดือนละ ๕๐๐ บาท มีคนส่วนน้อยได้ ส่วนใหญ่ไม่ได้

รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและไม่สามารถแก้ไขปัญหา ความขัดแย้ง ไม่ยอมแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับฟังเหตุผลการขอถวายฎีกา นอกจากไม่รับฟัง ยังได้ออกมา “ต่อต้าน” อย่างเปิดเผยอีกด้วย

เก้า : คนเสื้อแดงเขาต้องการให้รัฐบาลลงโทษคนที่ระเมิดกฎหมาย ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ ทำลายระบบอำมาตย์ที่เอาแต่ตักตวงความสุขส่วนตน มิได้มีความสงสาร คนยากคนจนเลย คนเสื้อแดงหมดที่พึ่งด้วยประการทั้งปวงจึง “บากหน้า” ไปขอพึ่งองค์พ่ออันเป็นที่พึ่งสูงสุดของประเทศ

สิบ : แม้กระทั่งได้ส่งหนังสือถวายฎีกาแก่สำนักราชเลขาแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ สิงหาคมพ.ศ. ๒๕๕๒ สองวันต่อมา นายกสภาทนายความ (นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์) ได้แนะนำรัฐบาลให้รีบล้มฎีกา อ้างว่าคนเสื้อแดง กระทำไม่สุจริต

บทสรุป : ผมขอสรุปว่า สิ่งที่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง เขียนมา ทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรเลย เพราะว่าเรื่องเลวร้าย ที่เกิดกับประเทศไทยนั้น เกิดจาก “คนชั่ว” กุเรื่องขึ้นมาเล่นงานทักษิณ แล้วก็เล่นแรงมาจนถึงวันนี้ จนกลายเป็นเรื่องเลวร้าย กระทบกระเทือนถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

คนเสื้อแดงขอถามว่า ถ้าพวกคุณไม่กลั่นแกล้ง ไม่รังแกคนในชาติ เดียวกัน จะมีคนเสื้อแดงเกิดขึ้นมาได้ไหม และขอถามต่อไปว่า แนวทาง แก้ปัญหามีอยู่และง่ายอย่างยิ่ง ทำไมไม่ทำ นั้นก็คือให้พากันสลัดความชั่ว ออกจากจิต ยอมที่จะข่มใจอิจฉาของตัวเอง ยอมรับความเก่งของคนอื่น แล้วปล่อยให้วิถีทางประชาธิปไตยบริหารระบอบด้วยความเป็นธรรม แล้วตัดสินใจออกกฎหมายพิเศษขึ้นมาโดยด่วน เรียกว่า “กฎหมาย ปรองดองแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. ........” !

ก็จะสามารถแก้ปัญหาของชาติได้เป็นอย่างดี ผมขอสรุปต่อให้ฟังว่า “แนวทางของกฎหมายปรองดองแห่งชาติ” ประกอบด้วยการใช้กฎหมายเพื่อการทำลายความขัดแย้งให้หมดสิ้นไป ใช้กฎหมายปรองดองเป็นรากฐานการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วทำลายระบอบเผด็จการอย่าให้ทรงอิทธิพลข่มขู่คุกคามประชาชนได้อีก ต่อไป

ต้องทำลายหลักการในมาตรา ๒๓ ถึงมาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญฉบับ ปัจจุบัน (๒๕๕๐) ที่เขียนเอาไว้ (ย่อความ) “ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลง” ซึ่งถือเป็นต้นตอของการหมกเม็ดที่จะทำลายราชวงศ์จักรี ของพวกอำมาตย์ ใจชั่ว ที่นักวิชาการ และนักเขียนรัฐธรรมนูญ (๕๐) ร่วมกันสร้างขึ้นมา เพื่อจะสนับสนุนบารมีให้แก่ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธาน องคมนตรี

ในกฎหมายปรองดองแห่งชาติจะต้องกำหนดแนวทางของรัฐธรรมนูญ ใหม่ว่า “หากพระเจ้าแผ่นดินของพระราชอาณาจักรไทยในรัชกาลนั้นสิ้นสุดลง ณ เวลาใด ให้รัฐสภากราบบังคมทูลอัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์ สืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ต่อในวันเดียวกันแล้วประกาศให้ พสกนิกรทั้งปวงได้รับทราบทั้งในและต่างประเทศในทันที”

ท่านผู้อ่านครับ ผมได้แสดงความคิดเห็นมาทั้งหมด ถือเป็นการ “วิสัชชา” อันเป็นการอธิบายความให้แก่ พ.ท. เขมพัฑฒ์ รถทอง ได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริง และถือโอกาส สำเนาถึงหน่วยงานและองค์กร อีก ๖ วงเล็บดังกล่าว

ก่อนจบ ผมขอสรุปว่า คนที่วางแผนจะล้มเจ้าตัวจริงนั้น น่าจะเป็น พรรคประชาธิปัตย์กับพวกพวกอำมาตย์บางคนมากกว่า ซึ่งผมจะได้เขียนมา ให้อ่าน หรือเขียนแบบกระชากหน้ากากให้รู้กันเสียทีว่า ทักษิณ หรือ ใครกันแน่ ที่ได้กระทำ “ทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างแยบคายที่สุด” ?!
ถ้าหน่วยเหนือและผู้จงรักภักดีมีจริง คงจะไม่เพิกเฉยต่อใบปลิวกู้ชาติบทที่ ๔๐ นี้.

จบบทที่ ๔๐ / สอาด จันทร์ดี

บทที่ 39 นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้

บทที่ ๓๙ ตอน : นิรโทษกรรมแบบนี้ ปรองดองชาติไม่ได้ ?!

ข่าวว่าพรรคภูมิใจไทยจะเสนอร่างกฎหมาย “นิรโทษกรรม” เข้าสภาโดยไม่เคยมีข่าวให้รู้ล่วงหน้าและไม่ระแคะระคายมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมในสถานการณ์ เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ “คนเสื้อแดง” เพิ่งจะยื่นหนังสือถวายฎีกาเสร็จสิ้น และผ่านไปหยก ๆ ไม่ถึง ๒ วัน (วันยื่นหนังสือถวายฎีกา : ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒) !

เอ๊ะ...เมื่อก่อนทำไมไม่คิดยื่น ? ผมได้ตรวจดูข่าวอย่างละเอียดด้วยความรู้สึกสงสัยว่าทำไม จึงมุ่งแต่จะนิรโทษให้แก่คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง ๒ ฝ่ายนี้เท่านั้น ทำไมไม่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร จะได้สมเหตุผลอย่างยิ่ง

เหตุที่ว่า “สมเหตุสมผล” หมายถึงต้นตอของปัญหาเกิดมา จากอำมาตย์และพวกเผด็จการพากันก่อขึ้น ด้วยการโยนความผิดไปให้ ท่านนายกทักษิณ หาว่า “ใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” ซึ่งเป็นการ “ปั้นความเท็จ” ใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง ดังที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

ดังนั้น การที่จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คนเสื้อเหลือง และคนเสื้อแดง มันจึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง เนื่องจาก คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดง คือเครือข่ายมวลชนที่ผูกติดอยู่กับ “หัวกระบวน” ที่เป็นคู่ทะเลาะวิวาทกัน

เสื้อเหลืองนั้นผูกติดอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา และพวกอำมาตย์น้อยใหญ่ อีกจำนวนหนึ่ง ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่มเผด็จการ น่าจะเรียกคนกลุ่มนี้ ว่าเป็นฝ่ายเอาความเท็จมา “กล่าวหา” !

คนเสื้อแดงนั้น ผูกติดอยู่กับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” เรียกว่าฝ่าย “ผู้ถูกข้อกล่าวหา” อันเป็นเท็จ เล่นงาน สะบักสะบอม !

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสรุปได้ว่าคู่กรณีของเรื่องนี้ ได้แก่คนใหญ่ คนโตของประเทศไทยเป็นหัวกระบวน หาใช่ปลายแถวคนเสื้อเหลือง และปลายแถวคนเสื้อแดงแต่อย่างใดไม่ แล้วเหตุไฉน พรรคภูมิใจ ไทยจึงไม่คิดที่จะแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่กลับมุ่งไปหา “พวกตู้รถพ่วง” เพื่อจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้พ่อแม่พี่น้องชาวรากหญ้า หรือพวกปลายแถวให้ได้ แล้วแสดงโวหารว่ากฎหมายฉบับนี้ จะทำให้คนในชาติเกิดความสงบ ความสมานสามัคคี อันจะทำให้ คนไทยปรองดองกันได้ เขาว่าอย่างนั้น

ขอโทษ หัวกระบวนยังเป็นพระเพลิงอยู่
ในขณะ “ปลายแถว” ยังเดือดปุด-ปุด
แล้วมันจะสงบได้อย่างไร ?

ผมจึงอยากเขียนในเชิงสนทนากันเล่นกับท่านผู้อ่านที่ติดตาม ใบปลิวกู้ชาติ โดยมิได้หวังผลว่าจะทำให้เกิด “จิตสำนึก” หรือเกิดการ เข้าใจใหม่แต่ประการใดไม่ เพราะว่าเราตระหนักอยู่แก่ใจของเราดีว่า ประเทศไทยกลายเป็นประเทศไร้ระบบไปหลายปีแล้ว

ดังนั้นเราควรมาช่วยกัน “นินทา” เล่นดีกว่าเน๊าะ...จริงไหมครับ ผมขอนินทาว่า คนที่โยนความผิดอันเป็นเท็จให้แก่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนแรก ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในสมัย นายชวน หลีกภัยยังเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เมื่อ นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับการสนับสนุนให้เป็นทายาททางการเมืองต่อจาก นาย ชวน หลีกภัย ในระดับนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้สวมวิญญาณ “เท็จ” ตามก้นนายชวนทุกอย่าง

ผมนินทาอย่างนี้ นับว่าไม่ผิดไปจากข้อเท็จจริง ผมขอนินทาข้ามไปที่ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” (พธม.) ที่มี สมีโพธิรักษ์ กับคู่หู ๒ คน คือนายสนธิ ลิ้มทองกุล กับ พลตรี จำลอง ศรีเมือง พากันเป็นนักรบแนวหน้านำพากองทัพธรรม บุกพรรคไทยรักไทย บุกเลยมาถึงพรรคพลังประชาชน และพรรค เพื่อไทย ในยุคของท่านนายกฯสมัคร และนายกฯสมชาย ทำให้เห็น ฤทธิ์เดชของการใช้ “ความเท็จ” เล่นงานคนดีอย่างดุเดือดเลือดพล่าน มากขึ้น...และมากขึ้น

ขนาดยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ก็ยังกล้าทำ การกระทำทั้งหลายพวกนั้น ได้อ้างความเท็จเอามาเป็น เครื่องมือโดยอ้างว่าเป็นเพราะทักษิณ เป็นคนชั่ว เป็นภัยต่อประเทศชาติ หากขืนปล่อยไว้ ประเทศไทยจะเสียสถาบัน และกล่าวเลยไปถึงปัญหา ประเทศไทยจะเสียดินแดนให้แก่ประเทศกัมพูชา (ดูเขากล่าวหาซีครับ)

มิใช่แต่เท่านี้ ยังกล่าวเท็จกันทั้งโคตรว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการไปมีสัมปทานบ่อน้ำมัน ลักลอบขโมยทรัพยากรของชาติขายเอาเงินใส่กระเป๋า หลังจากนั้นก็ นำเอาถ้อยคำที่เป็นเท็จไปหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ จนเป็นเหตุ ทำให้เกิดข้อขัดแย้งขึ้นในชาติ มีพวกเสื้อเหลืองมากมาย มีการเดินขบวน มุ่งที่จะขับไล่รัฐบาล มีการ “เอามือตบไล่ตี ไล่ด่า” จนเป็นเหตุทำให้เกิด ประเพณีตีนตบตามขึ้นมา

เสื้อแดงล้างแค้นเสื้อเหลือง ?!!

ครับ ผมนินทายืดยาวขนาดนี้ก็จริง แต่เอาเข้าจริงมันเป็นเพียง “เสี้ยวหนึ่ง” ของนิยายการเมืองน้ำเน่าในยุคกึ่งพุทธกาลของประเทศ สยาม ที่สามารถลูบคลำจับต้องได้ แต่เอาเข้าจริง มันกลับไม่อาจเปิดเผย ของจริงให้เห็นได้เลย แม้แต่กระดาษแผ่นเดียว

ตัวอย่างเช่นกรณีข้อกล่าวหาว่า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร มีผลประโยชน์ทับซ้อน แอบตักตวงผลประโยชน์บ่อน้ำมันในน่านน้ำไทย กับประเทศกัมพูชา ทักษิณ เป็นคนขายชาติ

พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาเป็นตุเป็นตะราวกับมันเป็นเรื่องจริง ทุกประการ

แต่วันนี้ หลังจากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล (สมใจนึก) มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ มีหน้าที่ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง อันจะสามารถ ตรวจสอบได้ด้วยพลังมหาศาล

แต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถ “ดึงเอาสัญญา” ที่เป็นปัญหา ทับซ้อนมาฉีกหน้า พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ได้แม้แต่แผ่นเดียว ! เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ผู้อยู่ในฐานะเป็นหัวหน้ารัฐบาล ได้เป็น นายกรัฐมนตรีใหญ่โตขนาดนี้ ไม่อาจ “เอาหลักฐาน” มาฟาดฟันได้

มันย่อมหมายถึงข้อกล่าวหาที่หลุดออกมาจากปากของพรรค ประชาธิปัตย์ในช่วง ๔ – ๕ ปีผ่าน “ล้วนแต่เป็นเรื่องเท็จทั้งเพ” มันเป็น เรื่องโกหกพกลม เป็นเรื่องของเจตนาร้าย และเป็นเรื่องความโฉดชั่ว ที่พากันตั้งใจทำ โดยไม่มีการคำนึงถึงคุณธรรม-จริยธรรมแต่ประการใด

ผมเขียนมาถึงถ้อยคำตรงนี้ ผมรู้สึก “ขำ” ในสติปัญญาของ นักการเมืองซีกพรรคประชาธิปัตย์ที่ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีพรรคอื่น ๆ เช่นพรรคชาติไทยเก่า (ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีจากเมืองสุพรรณ) จะพลอยตกเป็นเหยื่อของคนขี้จุ๊ตามไปด้วย รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ที่มี “เนวิน ชิดชอบ” เป็นผู้บังคับบัญชาใหญ่ ดันให้นาย ชวรัตน์ ชาญวีระกูร รมว. กระทรวงมหาดไทย กลายเป็นคนชื่นชอบ “ความเท็จ” เข้าไปอีก มันดูไม่จืดกับสภาพการเมืองไทยเลยครับ

ใช่...ผมขำ แต่ไม่สามารถขำกลิ้งได้เลย เนื่องจากเรื่องเช่นนี้ มิใช่เรื่องสนุก แต่มันเรื่องของความคับแค้นใจ ที่ร้ายกาจและรุนแรง ความคับแค้นใจเช่นนี้ เคยก่อตัวเป็นภูเขาไฟขนาดย่อมขึ้นในประเทศ ญี่ปุ่น ถึงขนาดเป็นพลังผลักดันให้ “ ๔๐ - ยอดซามูไร” ต้องสวม วิญญาณโหด ไล่ตัดคอพวกอำมาตย์ชั่ว ขุนนางเลว ด่าวดิ้นเป็นผี เฝ้าป่าช้า

สาเหตุของ ๔๐ ยอดซามูไรนิรนามพวกนั้นยอมทำบาป เกิดจากอาการขำเหมือนกัน แต่เป็นประเภทขำไม่ลง

ผมขอนินทาให้ฟังต่อไปว่า หลังจากคมดาบซามูไร ฟันฉับ เข้าที่ต้นคอของอำมาตย์ชั่วและขุนนางเลวด่าวดิ้นลงไป ยอดซามูไร “จะยิ้มที่มุมปากด้วยความสะใจ” มีอาการขำที่ล้ำลึก เย็นยะเยือก ประหนึ่งเป็นการ “ยิ้มอำลา” แก่ดวงวิญญาณที่โฉดชั่ว พร้อมกับได้ สอดดาบเข้าฝักเพื่อจะเก็บรักษาไว้เป็นดาบสังหารขุนนางชั่วที่เป็นภัย ต่อประเทศชาติชาวอาทิตย์อุทัย

ผมเคยถามเรื่องนี้กับคนญี่ปุ่นว่า อะไรคือ “ทฤษฎี” ชี้นำ ของยอดซามูไรนิรนามเหล่านั้น คนญี่ปุ่นได้ให้คำตอบแก่ผมว่า เป็นเพราะขุนนางเลว อำมาตย์ชั่ว อาศัยพระราชอำนาจของจอม จักพรรดิ คดโกงประเทศชาติ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถ ปราบปรามได้

มีแต่ยอดซามูไรเท่านั้น ที่สละชีพปราบปรามคนชั่วให้สิ้นซาก เมื่อภารกิจสิ้นสุดลง ยอดซามูไรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย !แต่พร้อมที่จะกลับมาอีก...เมื่อชาติต้องการ ?!

ผมนินทาจบแล้วครับ...ผมขอสรุปว่า กฎหมายนิรโทษกรรมที่ พวกเขาพยายามเหลือเกิน ไม่ว่าจะล้มหรือได้รับการตราเป็นกฎหมาย... มันแก้ความปรองดองไม่ได้ดอกครับ ?!

จบบทที่ ๓๙ / สอาด จันทร์ดี