วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 22 สอาด จันทร์ดี คือใคร

บทที่ ๒๑ ตอน : สอาด จันทร์ดี คือใคร ?

ขอแสดงความนับถือ "ท่านผู้อ่าน" ทั้งในไทยและต่างประเทศ ขออนุญาตโฆษณาตัวเองสักหน่อยเถิดครับ ทั้งนี้เนื่องจากมีคนโทรศัพท์ถามมาว่า ความรู้ความสามารถของผมมีขนาดไหน ที่ชอบเสนอแนะจังเลย ถ้าความรู้ไม่มี แล้วมาเสนอหน้าอยู่ทำไม

อีกประการหนึ่ง เท่าที่รู้จักมา ผมก็คือนักเขียน "ต๊อกต๋อย" ที่เอาแต่เขียนคิดอะไรได้ก็เขียน แต่ความจริง หาได้มีประสบ การณ์แต่ประการใดไม่ ?

ผมรับฟังเสียงจากโทรศัพท์ด้วยความขอบคุณ ผมจึงคิดว่าถ้าจะตอบคำถามของท่านผู้นั้นก็ต้องตอบให้ "กระจาย" ไปในวงกว้าง โดยผมเต็มใจที่จะตอบอย่างหมดเปลือกขอรับ แต่การตอบคำถามดังกล่าว ผมต้องแบ่ง "ประวัติของตัวเอง" ออกเป็น ๔ ช่วง

ขอเรี่มต้นช่วงที่ ๑ ดังนี้ครับ (อายุ ๑ ขวบถึง ๑๕ ขวบ) :

ผมเกิดปี ๒๔๗๙ ที่ หมู่บ้าน สวนหอม หมู่ ๑ ต. ห้วยแถลง อ. พิมาย จ. นครราชสีมา จากครอบครัว ชาวนาที่มีที่นาเป็นของตนเองประมาณ ๓๕๐ ไร่ มีวัวมากกว่า ๑๐๐ ตัว และมี ควายอย่างน้อย ๔๐ ตัวแต่ผมโชคไม่ดี ตั้งแต่เกิด จำหน้าคุณพ่อไม่ได้ เพราะว่าท่าน ตายจากผมไปในขณะทีน้องคนเล็กอยู่ในท้อง ใกล้จะคลอด แม่ของผมเป็นคน มีลูกมาก ครอบครัวของผมจึงพากันอยู่รอดเพราะมีพี่สาวพี่ชายเป็นกำลังแรงงานในการทำนา

ผมได้รับการเลี้ยงดูจากพี่ ๆ เป็นอย่างดี แต่ต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ นั้นก็คือ ต้องดูแลรับผิดชอบ "เลี้ยงวัวควาย" ที่มีมากมาย การไปเลี้ยงวัวควายนั้น เราไม่ได้เลี้ยงมันดอกครับ เพราะมันมากเหลือเกิน เมื่อปล่อยเขาออกจากคอก เขาจะไปของเขาเอง เราเพียงแต่นั่งอยู่บนหลัง (ขี่) อยู่ตรงกลางฝูง ครั้นถึงเวลาตะวันกำลังจะคล้อยตกดิน ฝูงวัวควาย จะกลับเข้าคอกเอง

วัวควายที่มีมากมาย ก่อปัญหาให้แก่ครอบครัวของผมมาก เนื่องจากมันไปทำความเสียหายให้แก่ไร่นาของชาวบ้าน ในที่สุดก็สามารถระงับได้ เนื่องจากครอบครัวของผมถูกศาลฟ้องว่ากู้ยืมเงินมาตั้งนาน ไม่ยอมชำระหนี้ คุณแม่จึงยกวัวควายทั้งหมด ใช้หนี้เขา ขณะผมอายุย่างขึ้น ๑๒ ขวบ

ในวันที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวตวายไปจากบ้าน พี่สาวกับพี่ชายพากันร้องให้น้ำตานองหน้าต่างพากันรำพันด้วยความเสียใจ โดยเฉพาะกับควายตัวหนึ่งชื่อ "อีตู้" ซึ่งเป็นควายแม่พันธุ์ที่รู้ภาษาคนแทบจะพูดกันรู้เรื่อง ตัวผมเองอดกลั้นนำตาเอาไว้ไม่ได้ แต่ในที่สุด ก็ต้องพลักพรากจากวัวควายทั้งฝูงตั้งแต่วันนั้น

ทันทีที่เจ้าหนี้มาไล่ต้อนเอาวัวควายไปจนเกลี้ยง พี่ชาย (นายดาวเรือง จันทร์ดี) หันมาทางผม ร้องออกมาว่า "อ้าว..น้องอาด ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลยทำยังไงดีนี่ อีกหน่อยก็เป็นหนุ่มใหญ่ อ่านหนังสือไม่ออก อายเขาตายห่า"

ว่าแล้วก็รีบคว้ามือผม ออกเดินจากหมู่บ้าน ประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ไปถึง โรงเรียน "มณีราษฎร์คณาลัย" ตั้งอยู่ในตลาดหัวยแถลง

พี่ชายพาผมไปฝากเข้าเรียนชั้นประถมกับครูใหญ่ ท่านชื่อครูแจ่ม เมธาจารย์ ท่านครับ ผมเรียนได้เพียง ป. ๓ ก็ต้องอกจากโรงเรียน เพราะอายุ ๑๕ แล้วครับผมเล่าให้พี่ชายคนโตชื่อ "นายสุดใจ จันทร์ดี" ได้รับรู้เรื่องราว พี่ชายบอกว่าพี่จะให้น้องบวชเณร ว่าแล้วก็จัดการพาผมไปบวชเณร ที่วัดทัพสวาย กับพระ อุปัชฌาย์แก้ว ตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ผมก็ได้เป็นสามเณรน้อย เริ่มต้นศึกษา เล่าเรียนพระธรรมวินัย

ต่อไปเป็นช่วงที่ ๒ (ตั้งแต่อายุ ๑๕ ถึง ๒๑ ปี) :

ผมขอรวบรัดว่า หลังจากผมบวชได้ไม่นาน พี่ชายของผมก็มาปรึกษาว่าอยากให้คุณแม่มีพ่อใหม่ เพราะจะได้มีคนดูแลท่าน ผมรู้สึกไม่พอใจ อะไรกันยังคิดจะมีผัวอยู่หรือ ในใจยังรู้สึกหวง และคัดค้านอย่างแรง แต่ในที่สุด ผมก็ได้ พบพ่อคนใหม่ พ่อใหม่ท่านมีลูกชายเป็นพระอยู่อำเภอ บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ท่านชื่อพระภิกษุพูล อธิวาโส เมื่อพระพูลรู้ข่าวว่าพ่อมีแม่ใหม่ก็รีบ เดินทางไปขอ ดูหน้าแม่คนใหม่ทันที ท่านได้พบผมเป็นสามเณรน้อย หลวงพี่จึงนำตัวผมเอา ไปฝากพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระพิมลธรรม อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ ต่อมาพระเดชพระ คุณได้เป็น "สมเด็จพุฒาจารย์" รักษาการ ตำแหน่งพระสังฆราช

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมได้ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนบาลีมัธยม แล้วไปสอบ สมทบ ณ วัด บวรนิเวศ - บางลำภู ก็ได้ความรู้มาแค่นั้น หลังจากนั้น เมื่ออายุครบ ๒๐ ก็ได้อุปสมบทอีก ๑ พรรษา เป็นพระ "นวกะ" วัดมหาธาตุรุ่นปี ๒๕๐๐

ผมขอกราบเรียนกับท่านผู้อ่านว่า บวชเณรไม่ลำบาก ยิ่งท่านเจ้าคุณพ่อ พระพิมลธรรมได้มอบให้ผมเป็น "บุตรบุญธรรมของโยมแม่ในวังหลวง" ผมยิ่งไม่ต้องลำบากในการบิณฑบาตร เพราะ "โยมหม่อมแม่ดูแลอย่างดี" ครั้นบวช เป็นพระซีครับ แม้จะไม่มีปัญหาเรื่องบิณฑบาตร แต่ข้อวัตรปฏิบัติ ศีล ๒๒๗ แน่นจนขยับไม่ได้ แถมยังต้องนั่งพับเพียบรับการอบรมพระนวกะ ตลอด ๓ เดือนเต็ม ผมแทบตาย

หลังจากออกพรรษา ใจผมสู้ไม่ได้ จึงคลานเข้าไปขอกราบลาสิกขาท่านเจ้าคุณพ่อมองดูผมหน้าผมด้วยความเป็นห่วง ท่านพูดว่า "ลูกเอ๋ย ความรู้เพียงแค่นี้ จะเอาตัวรอดได้หรือ แต่พ่อก็ห้ามไม่ได้ รักษาตัวให้รอดนะลูกนะ" ผมก้มลงกราบ แล้วกล่าว คำลาสึก เปลื้องผ้าเหลืองออก นุ่งกางเกง แต่งตัวเป็นฆราวาส อยู่ทำความสะอาดวัด ๓ วันแล้วเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความรู้สึกว้าวุ่น บอกไม่ถูก

ผมขอต่อช่วงที่ ๓ (อายุ ๒๑ ถึง ๕๐ ปี) :

ผมขอกราบเรียนว่า นับแต่ออกจากวัดมา ตัวเองไม่เคยมี "แผนการ" อะไรในใจเลย แม้แต่เรื่องที่จะมีครอบครัวก็ไม่ได้เคยไปจีบใครสักคนเดียว การที่จะมีอาชีพอะไรจึงจะมีความเจริญก้าวหน้าหรือไม่ ไม่ได้มีอยู่ในความรู้สึก แต่โชคชะตาได้จับสิ่งที่ดีงามมอบให้ผม ผมได้เข้าราชการในกรมโลหกิจ (ปัจจุบันคือกรมทรัพยากรธรณีวิทยา) แต่อยู่ไม่นานก็ตัดสินใจทิ้งอาชีพราชการเอาตัวเองไปทำงานใหม่กับ "ทหารอเมริกัน" ที่กำลังขับเคี่ยวกับคอมมิวนิสต์ ในสงครามเวียดนาม

จากจุดนี้เอง ผมได้พัฒนาตัวเองอย่างใหญ่หลวง ผมได้รับการ "ปรับปรุง" ้วิชาความรู้ ได้รับการ "มอบหมาย" ให้ทำงานสำคัญมากมายหลายระดับ ที่สำคัญที่สุด เขาส่งผมไปเรียนลับ กับพรรคคอมมิวนิสต์ฟิลิปปินส์ ที่กำลังรุกรบ อยู่ในป่า ชื่อ "ฮุกบาราฮับ" กว่าผมจะจบวิชานี้ ครอบครัวของผมลำบากมาก ผมไม่มีทางออก ต้องส่งเมียและลูกไปอยู่นาที่ห้วยแถลง

จากจุดนี้ ผมได้รับการเลื่อนขั้นเป็น TG-10 และ ประกาศติตยศ เท่ากับนายพันให้ผม ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะมีความจำเป็นอย่างไร

จากภารกิจตรงนี้ ผมต้องทำหน้าที่เป็นนักรบ ต้องควบคุมกองกำลัง (นักรบ รับจ้าง) ผมอยูกับทหารอเมริกันถึงปี ๒๕๑๐ ผมรู้สึกว่า หากขืนอยู่ต่อไป มือสองข้างจักเปื้อนเลือดมนุษย์อย่างไม่มีทางเลี่ยง จึงคิดว่าเมื่อยังไม่มีบาปมหันต์ ต้องรีบหนี

เมื่อคิด ได้ดังนี้ ผมลาออกทันที

ท่านผู้อ่านครับ..การลาออกในสถานการณ์เช่นนั้น มันไม่มีความปลอดภัย แก่ตัวเอง ด้วยประการทั้งปวง ผมพะวงในใจลึก ๆ ว่า ซีไอเอ คงจะไม่ปล่อย ให้ผมลอยนวล ผมจึงรีบมุดเข้าหาที่พึ่ง

ก็ได้รับการฝากฝังให้อยู่ในความดูแลของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรอาจารย์ประเสริฐ รีบฝากผมต่อกับ "ชาญชัยศรี พลกุล" นักหนังสือพิมพ์ใหญ่ ชาญชัยศรี ฝากต่อกับ "รัตนะ ยาวะประภาศ" รัตนะ ยาวะประภาศ ฝากต่อกับ สาร บรรดาศักดิ์ พี่สาร พาผมไป ฝากกับ พลเอกเนตร เขมะโยธิน พลเอกเนตรฝากต่อให้ "พลเอก ทวนทอง สุวรรณทัตร"

จากจุดต่าง ๆ เหล่านี้ ผมโลดแล่นได้รวดเร็ว โดยเฉพาะนับแต่ผมจบจาก ลัทธิมาร์กซ จากฟิลิปปินส์ ผมจะทำอะไร ผมมี "แผนการ" ล่วงหน้า และได้วางระบบอย่างรัดกุม จึงทำให้ผม ก้าวเดินทั้งในด้าน "มวลชน" และด้าน "การประกอบอาชีพ" ควบคู่ไปด้วยกันด้วยความก้าวหน้า ได้ทั้งเงิน ได้ทั้ง ประสบการณ์มากมาย

พื้นฐานการศึกษาจบไม่สูง แต่ภาษาอังกฤษของผม แพรวพราว ทั้งพูดและเขียน ผมมีวิธี การนำเสนอที่ทันสมัย ทำให้ผมได้รับการมอบหมายจาก นายจ้างใหญ ่ๆ หลายคนให้เป็นผู้ควบคุมงาน เช่น การขุดเจาะน่ำมันในอ่าวไทย(ยูโนแคล) เป็น "โปรเจ็คท์ มาเนเจอร์" ในโครงการขนาดใหญ่ ควบคุมงาน มูลค่า๑,๐๐๐ ล้านถึง ๔,๐๐๐ ล้านบาท เคยได้รับเงินเดือน ๑๒๐,๐๐๐ บาท ได้เป็น ที่ปรึกษาส่วนตัวของ คุณหมอ ชัยยุทธ กรรณสูตร เจ้าของบริษัทอิตาเลี่ยน-ไทย เคยทำหน้าที่ "เป็นตัวแทน" ของบริษัทใหญ่ ๆ ในประเทศไทยหลายบริษัท

ผมท่องเที่ยวทำงานต่างแดนติดต่อกันมากกว่า ๒๐ ปี ผมจึงรู้จักซาอุดิ-อาระเบีย คูเวต โดฮา กาตาร์ ดูไบ อิรัค อิหร่าน ลิเบีย และอีกมากแห่งในหมู่ของ บริษัทรับเหมาก่อสร้าง

ช่วงที่ ๔ เป็นเรื่องของชีวิต ๒ มุม ๒ ง่าม (อายุ ๕๐ - ๗๓ ปี)

ท่านผู้อ่านได้รับรู้เรื่องราวของผมมาถึงบทสุดท้ายแล้วครับ แต่ท่านยังไม่ได้พบ กับเกล็ดความรู้ที่เป็นแก่นสาร ฟังแล้วมันอาจจะเลื่อนลอย เพราะไม่มียศถา บรรดาศักดิ์รับรองตามประเพณีความเชื่อถือของคนไทย

ผมขอกราบเรียนว่า ผมแตกฉานวิชาปฏิวัติ ผมจึงเกิดความขัดแย้งกับ "พวกหัวโบราณ" อย่างรุนแรง จึงไม่อาจแสวงหาความก้าวหน้าได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ผมจะได้ใช้วิชาปฏิวัติที่ผมได้รับการถ่ายทอดมาอย่างเป็นระบบเขียน "คู่มือปฏิวัติ" มอบแก่มหาชนคนไทยรุ่นใหม่ เพื่อเขาจะได้ "ปฏิวัติสังคมไทย"ให้เป็นประชาธิปไตยให้ได้ ปลดปล่อยและปลดแอก ไม่ตกเป็นทาสของเผด็จการอีกต่อไป

แต่การปฏิวัติประเทศไทย มันยังมีภูเขาขนาดยักษ์ ขวางกั้นถึง ๓ ลูก
๑ ภูเขาเผด็จการ
๒ ภูเขาทุนนิยมผูกขาด
๓ ภูเขาการแย่งความเป็นใหญ่ของชนเผ่า

คนไทยจะสามารถฟันฝ่าได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจในวิชาปฏิวัติ ถ้าเข้าใจ ไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้การปฏิวัติล้มเหลว แต่ถ้าเข้าใจถูกต้อง ดำเนินการถูกต้อง ต่อให้มีภูเขาสูงอีก ๑๐๐ ลูก ก็จะสามารถ พังทะลายลงได้

ท่านผู้อ่านขอรับ...ผมเล่าประวัติของผมในบทที่ ๒๑ ด้วยความเต็มใจเปิดเผย แต่เป็นการ เปิดเผยร้อยละ ๔๐ เท่านั้น ยังมี "ความลี้ลับ" อีกมากมายถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ที่ไม่มีเนื้อที่ให้ ผมได้บรรยาย

ผมจึงขอกราบเรียนว่า ความรู้ของ "ผู้ว่าราชการจังหวัด" หรือความรู้ของคน ที่มียศเป็นพลเอก เขามีอย่างไร ผมมีเท่าเขา และอาจมากกว่า

ทั้งนี้เนื่องจากความรู้ของพวกเขาเป็นสายเผด็จการ (สายบ้าน) !!ส่วนความรู้ของผมเป็นสายประชาธิปไตย (สายป่า) !! ขอรับ

จบบทที่ ๒๑ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น