วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 33 หนังสือเตือนภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ 2

บทที่ ๓๓ ตอน : หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ?!

ขอแสดงความนับถือมายังท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ที่ได้อ่านข้อเขียนของผมในบทที่ ๓๒ และกำลังอ่าน มาถึงบทที่ ๓๓ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมไม่แน่ใจว่า หนังสือเตือน : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๑ ที่ผ่านสายตาท่านไป จะมีประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือไม่ จะมีหรือไม่มี ผมคิด ของผมว่าจะขอกราบเรียนต่อไป โดยผมได้โทรปรึกษากับ “ลุงผึ้ง@เสรีชน” ว่าจะช่วยกันสร้างงานไปเรื่อยๆ ตามสติปัญญาความสามารถ

วันนี้ขอเขียน หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ยังขอยืนยันมูลเหตุปัญหาของชาติ ได้แก่ ความชั่วของคน ๓ กลุ่มใหญ่ คือ
(๑) นายทุนชั่ว
(๒) ขุนศึกชั่ว
(๓) ศักดินาชั่ว

แต่...สำหรับวันนี้ ขอเพิ่มการวิสัชนาปัญหามูลเหตุ เข้ามาเป็น “สาระประกอบ” เพื่อจะเป็นการคลี่คลายความลี้ลับ ดำมืดให้กระจ่างว่าอะไรเป็นตัวปัญหากระทำให้ประเทศไทย กลายเป็นประเทศประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” จนกลายเป็น เผด็จการไปในที่สุด

มูลเหตุความชั่วของนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา เกิดจากปัญหา คนต่างชาติที่พากันเข้ามาพึ่งพาอาศัยพระบรม-โพธิสมภาร หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้แก่การอพยพเข้ามาอยู่ ในประเทศไทยของคนต่างประเทศ เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาอยู่ ในประเทศไทยในฐานะคนต่างด้าว เมื่อพวกเขาเป็น “คนต่างด้าว” จึงเอาแต่ทำมาค้าขาย มิได้สนใจว่าระเบียบ ระบบ และระบอบจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขา มิใช่คนไทยโดยสายเลือด มิได้เกี่ยวข้องกับหลักการและ เงื่อนไขประชาธิปไตย

ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีการต่อรอง “เรื่องความ เป็นธรรม” หากตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะใช้ “เงินหรือทอง” เอาไปประเคนแลกเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอด อย่างปลอดภัย

วันเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นกลายเป็นนายทุน มีความ ร่ำรวยขึ้นและได้ยึดครองอาณาจักรตั้งแต่ในกรุงออกไปสู่อำเภอ และจังหวัด ทั่วประเทศ แต่ทว่าถึงจะร่ำรวยอย่างไรก็ไม่พ้น ที่จะถูกขุนศึก ข่มเหง รังแก พวกเขาจึงเกื้อหนุน ขุนศึก อย่างอิ่มหนำสำราญ และยังได้ส่งส่วย “ศักดินา” จนพวก “ขุนศึกใหญ่และศักดินาตัวเป้งๆ” มั่งคั่งร่ำรวยไปตามๆกัน ทำให้เกิดนิสัยกดขี่ขูดรีดในหมู่ชนชั้นสูง เกิดความเคยชิน ในการใช้ความชั่วร้ายแสวงหาผลประโยชน์

สุดท้าย คนทั้ง ๓ กลุ่มนี้ ต่างมีความชั่วร้ายต่อสังคมไทย ทั้งสังคมอย่างเสมอหน้ากัน

เมื่อหลายสิบปีผ่าน คนต่างชาติหรือคนต่างด้าวเหล่านั้น กลายเป็นคนตามกฎหมาย ลูกเกิดมาเป็นคนไทย ได้รับการ ศึกษาดี มีความรู้ความสามารถสูง และมีสิทธิเท่าเทียม ในการเป็นคนไทยทุกประการก็ได้เข้ามาบริหารประเทศ นับแต่การเป็นข้าราชการ เป็นนักการเมืองทั้งในระดับ ท้องถิ่น และระดับชาติ และยังลามเข้าไปเป็น “ขุนศึก” เสียเอง อีกด้วย

จึงทำให้อำนาจทั้งหลายในประเทศนี้ ล้วนแต่เป็น “มรดกตกทอด” ในกลุ่มของพวกเขา เมื่อประเทศชาติเปลี่ยนแปลง (ปี ๒๔๗๕) อำนาจ “ใหม่” ที่กล่าวว่าเป็นของประชาชนตามระบอบ “ประชาธิปไตยใหม่” เอาเข้าจริง มันเป็นประชาธิปไตยเฉพาะในกลุ่มของนายทุน ขุนศึก และศักดินาเท่านั้น

ส่วนพวกประชาชนชาวรากหญ้า หาได้รับ ประชาธิปไตยไม่ ?

ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านผู้อ่านเองก็อาจจะเป็น “เทือกเถาว์เหล่ากอ” หรือวงศาคณาญาติของคนชั่ว ทั้ง ๓ ประเภทดังกล่าว ท่านจะเห็นด้วยตาของท่านเองว่า “พวกท่านจะพากันกล่าวอย่างภาคภูมิใจใจว่า ประเทศไทย มีประชาธิปไตยล้นเหลือ พวกท่านอยากได้อะไรก็จะได้ อยากเป็นอะไรก็จะได้เป็น”

พวกท่านเสวยความสุขประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้อย่างยิ่งใหญ่และมากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกนายทุน ขุนศึก และพวกศักดินา ก็จะพากันส่งใบประกาศ (หนังสือรับรอง) ไปยังชาวโลกว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย

คนต่างด้าวที่ตามเข้ามาทำมาหากินในประเทศไทย ก็จะพากันได้รับอานิสงค์ในอำนาจและอิทธิพลที่พวกท่านมีอยู่ จะพากัน “รับรอง” ว่าประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย อันหมายถึง คนกลุ่มหนึ่ง ได้แก่พ่อค้าคนกลาง นายทุน ตามจังหวัดต่าง ๆ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และประดาผู้ มีศักดิ์สูงในสยาม ล้วนแต่เป็นผู้ได้รับประชาธิปไตย เต็มใบ และมากกว่าเต็มใบเสียด้วยซ้ำ

แต่คนรากหญ้า ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร อย่าว่า ประชาธิปไตยครึ่งใบเลยครับ แม้แต่ครึ่งใบพวกเขาก็ยังไม่ได้รับ

ดังที่ได้วิสัชนามา นี้แหละคือมูลเหตุอันเป็นสาระที่ แท้จริง

มาถึง พ.ศ. ๒๕๔๗ พวกนายทุน ขุนศึก พากัน ตระหนักว่า “อำนาจของพวกเขากำลังจะถูกคนกล้าอย่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ ๒๓ บั่นทอนลง” จึงพากันสร้างเรื่องกล่าวหา ใส่ร้ายป้ายสี โดยไปยุยงให้ชนชั้นสูงเกิดความเข้าใจผิด

ทำให้ “นายทุน ขุนศึก และศักดินา” กระโดดลงมา เล่นงานอย่างไม่ปราณี

ท่านผู้อ่านขอรับ เมื่อท่านได้อ่านมาถึงตรงนี้ ขอให้ย้อนกลับไปที่บทที่ ๓๒ ที่ผมได้เขียนเอาไว้ว่า “มูลเหตุ ทั้ง ๓ ที่ผมยกเอามาวิสัชนาในวันนี้ ได้ยกเรื่องเก่าเอามาเป็น เรือนร่างของการทำ “วิภาคภาคี” รวมทั้งวิพากย์ไปสู่การ วิภาคและกลับกันในรูป “วิภาควิธีไปสู่การวิพากย์นิยม” เพื่อจะกรองแนวคิดให้เป็นประชาธิปไตยของคนไทยทั้งชาติ มิใช่เชิดชูชนกลุ่มน้อยหรือยกย่องปัจเจกเผด็จการอีกต่อไป

อันหมายถึงพวกนายทุน ขุนศึก และศักดินา ดังกล่าว เป็นพวก “ปัจเจกเผด็จการ” ที่จัดอยู่ในคนกลุ่มน้อย แต่ทว่า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนกลุ่มน้อย แต่เอาเข้าจริง พวกเขามีอำนาจ ครอบงำประเทศไทยตั้งแต่ระดับตำบล ขึ้นไปถึงระดับชาติ

และยังได้ครอบงำสถาบันศักดินาอีกด้วย !!

ดังนั้น เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ จะทำให้เห็น “ลางหายนะ” มันหมิ่นเหม่ที่จะเกิดความเสียหายต่อสถาบัน ทั้งนี้เนื่องจาก “ฝ่ายสถาบัน” แทนที่จะได้เป็น “กำลังส่วนหน้า” ในการ รณรงค์ต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม กลับไปยืนอยู่ข้างคนชั่ว ทำให้การสร้างประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย กลับหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งคนที่ทุกข์ยากจะพากันพูดว่า “ประชาธิปไตยส้นตีน” อันเป็นการด่าทอที่สะท้อนถึงความ เจ็บแค้นมันรุนแรงมาก

นอกจากนี้ยังมีพวก “ขุนศึก” ต่างพากันเป็น “คนเลว” ที่เอาตัวไปเข้าข้างคนชั่วสุดลิ่มทิ่มประตู ทำให้ ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” มีความแตกต่างจากประชาธิปไตย เต็มใบสุดจะพรรณนา ส่งผลให้ประเทศไทยทั้งประเทศ เป็นแผ่นดินกึ่งเผด็จการ กึ่งประชาธิปไตย

ท่านผู้อ่านขอรับ ท่านจงอย่าโกรธแค้นใน “บทสรุป” ของใบปลิวกู้ชาติ และอย่าได้มีความชิงชังผมเลย เนื่องจากว่าหากท่านเกลียดผมในวันนี้ แต่ในวันหน้า สังคม จะยอมรับความจริง และไม่นานเกินรอ สังคมไทยทั้งประเทศ จะเกิดความปั่นป่วน การต่อสู้กันนับวันแต่จะรุนแรงขึ้น

จะรุนแรงเพราะอะไร ?

คำตอบก็คือ “คนชั่ว” รวมหัวกันเล่นงานความ ปรารถนาประชาธิปไตยของคนยากคนจน ดังที่กำลังเกิดขึ้น อยู่ในขณะนี้ (เหตุการณ์ระหว่างวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ถึง ๖ สิงหาคม/๕๒) ! อันได้แก่ฝ่ายรัฐบาลได้ใช้กลไกของรัฐ ป่าวประกาศให้ประชาชนทั้งหลายออกมาต่อต้านการถวายฎีกา โดยมิได้มีลักษณะใดเลยที่จะยินยอมรับฟังความปรารถนา ของคนรากหญ้า

มันจึงกลายเป็นการยืนอยู่คนละมุม กล่าวให้ชัด หมายถึงการประกาศตัดเชือก ไม่เอากับคน จนอีกแล้ว

ท่านผู้อ่าน ผมเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้ จะทำให้ประเทศ ไทยเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง ผมจึงพยายามสร้างงานภายใต้ โครงการ “ใบปลิวกู้ชาติ” ผ่าน “ลุงผึ้ง@เสรีชน” แล้วนำ ออกเผยแพร่สู่นักคิด นักปฏิวัติ นักการเมือง และท่านผู้อ่าน ทั้งหลายที่เป็นคนไทย ทั้งในประเทศไทยและตระเวนอยู่ ในดินแดนของประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้มี ดวงตาเห็นธรรม

ผมขอกล่าวว่าดวงตาของพวกเผด็จการมืดบอด แม้แต่ พระในวัดแท้ ๆ ก็ยังมืดบอดตามไปด้วย โดยผมจะขอพาดพิง “หลวงปู่พระมหาบัว” แห่งวัดบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี หลวงพ่อ“บุญสนอง” วัดสังฆทาน จังหวัดนนทบุรี อย่างนี้ เป็นต้น

ดวงตาที่มืดบอดเหล่านี้ รังแต่จะนำความโกลาหลมาสู่ ประเทศ

ผมวิตกกังวลว่าประเทศไทยจะเกิดการนองเลือด ผมจึงออกมาชี้แนะ “สัจธรรม” ให้แก่พวกเผด็จการทั้งหลาย ขอให้รีบวิเคราะห์ “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๓ นี้ให้ได้

ผมเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน พากันทำงานโดยไม่มี ค่าตอบแทน เสียเวลาทำมาหากินถึงร้อยละ ๖๐ ด้วยการเอาตัว เข้ามานั่งอยู่หน้าจอ เปิดสมองใจ สมองความคิด ส่งออกความ ปรารถนาดี หวังจะให้ถึงบุคคลต่างๆในสังคมชั้นสูง รวมไปถึง ได้เข้าถึง “คนที่รักชาติ” แบบวันต่อวัน จะได้ช่วยกันรับรู้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรา

ผมขอเรียนว่าอย่าปล่อยให้ตัวเอง ไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมสลัดแอกเผด็จการออกจากหัวใจ ถ้าพากันเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่อาจก้าวพ้นไปจากบ่วงที่มัดเราตรึงเอาไว้กับแท่งศิลา

เราต้องพัฒนาจิตใจของเรา อย่าเอาเยี่ยงอย่างพวกเผด็จการ ชนชั้นผู้ปกครองพวกนั้นไม่ยอมเสียสละแม้แต่น้อย ก็ย่อมจะเป็นต้นเหตุทำให้เกิดภัยพิบัติแก่ประเทศชาติบ้านเมือง สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้ ? และคำว่า “สุดที่จะหลีกเลี่ยงได้” มันหมายถึงไม่มีทางเลี่ยง เนื่องจากประชาชน “คนเสื้อแดง” เขาสู้เพื่อความถูกต้อง สู้เพื่อความยุติธรรม และสู้กับอำนาจ “เผด็จการ” ที่พวกชนชั้นผู้ปกครองหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง เป็นฝ่ายถูก

หนังสือเตือนภัย : ภัยพิบัติชาติ ฉบับที่ ๒ ฉบับนี้ ได้ถูกนำเสนอต่อท่านทั้งหลาย ทั้งที่เป็นวงศาคณาญาติของกลุ่ม เผด็จการ หรือตัวท่านเองก็อาจจะเป็น “หนึ่งในร้อยไอ้เสือร้าย” ก็ขอให้รีบกลับจิตกลับใจ หันหน้าเข้าหาใบฎีกา นำเอา พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และประชาชนคนรากหญ้า ไม่น้อยกว่า ๒๐ ล้านคน กลับมาปรองดองกันเถิด

ไม่เช่นนั้นแล้ว จะไม่พ้นสงครามกลางเมือง ?!!

จบบทที่ ๓๓ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น