วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 23 เผด็จการย่ามใจ ทำลายโอกาศสร้างประชาธิปไตย

บทที่ ๒๓ ตอน : เผด็จการย่ามใจ ทำลายโอกาสสร้างประชาธิปไตย ?!

ขอกราบเรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน ทั้งใกล้และไกลว่าผมมาอีกแล้วครับ

ท่านผู้อ่านได้อ่าน "บทความในปลิว" ผ่านไปแล้ว คงจะยังมีความสงสัยในหลายเรื่องหลายประเด็น ก็ขอกราบเรียนว่าใช่แล้วครับ ผมเขียนไม่กระจ่าง เพราะรวบรัดอย่างยิ่ง ตัวอย่างเช่น กรณีผมไปพบ "คุณประสก" นักเขียนใหญ่ของ นสพ. สยามรัฐ เพื่อจะให้ท่านช่วยนำพาผมเข้าพบ "ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช" ในครั้งนั้นมิใช่เป็นสติปัญญาของผม

แต่เป็นการทำงาน "รับภาระ" ให้อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แต่ก่อนจะมีการรับภาระในคราวนั้น ท่านได้สอนวิชา "ปฏิวัติประชาธิปไตยแบบสันติวิธี" ให้ผมมีความรู้ ความเข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อถึงคราวลงมือทำงาน ต้องทำแบบ "หวังผล" เข้าไปจัดตั้ง "ชนชั้นสูง" ให้ได้รับความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง หากชนชั้นสูง เช่น "นายกรัฐมนตรี" ยอมรับฟังเรา ก็ถือได้ว่าการจัดตั้งสำเร็จลุล่วงสมความปรารถนา

ผมทำหน้าที่รับภาระไป "จัดตั้ง" กับชนชั้นสูงตามบัญชาของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นผลสำเร็จ สุดท้ายได้ทำให้ "ประธานเหมา เจ๋อ ตุง" ตัดสินใจเลิกหนุน พคท. ทำให้ พคท. พากันยอมรับคำสั่งที่๖๖/๒๕๒๓ เป็นการ "ยินยอมเข้าร่วมพัฒนา ชาติไทย" ภายใต้ข้อตกลงว่าจะยุติการก่อการร้าย ด้วยประการทั้งปวง จะนำ "สหาย" ทั้งหลายเข้ารายงานตัวต่อกองกำลังส่วนหน้า ของกองท้พไทยและจะมอบอาวุธ ยุทโธปกรณ์ทั้งหมดให้แก่กองทัพ

อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร คือเจ้าของแผนการทั้งหมด แผนการนี้ สำเร็จจากการจัดตั้งโดยตรงกับ ฯพณฯ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช กระโดดเข้าหา "ท่านประธาน เหมา เจ๋อ ตุง" ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง สั่งให้พรรคคอมวมิวนิสต์จีนเลิกสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ไทย และแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์ไทยจึงพากันเต็มใจยุติการสู้รบ นี้คือ "เส้นทาง" ของการทำงาน ปฏิวัติสันติ

ท่านผู้อ่านครับ การทำงานปฏิวัติสันติมิใช่เรื่องเล็กน้อยในแผ่นดินนี้ การทำงานจัก เต็มไปด้วยความลี้ลับ ไม่เปิดเผย และไม่ใช้บุคคลเกิน ๑ เข้าร่วมงาน นั้นก็คือ "คนสนิทสายป่า" ของท่านหม่อม คือ คุณ ผิน บัวอ่อน ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พันเอกมานะ เกษรศิริ คนสนิทของอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ก็ไม่ระแคะระคายในเรื่องนี้

สิ่งเหล่านี้คือตัวอย่างของเรื่องราวที่รวบรัด ความมุ่งหมายของ "ปฏิวัติสันติ" หมายถึง หลังจาก พคท. ยุติการสู้รบแล้ว องค์กรทางการเมืองในประเทศสยาม ทังหมดจักต้องเป็นผู้รับภาระแทน หรือ "รับไม้ต่อ" เพื่อจะดำเนินการ กวาดล้างระบบเผด็จการด้วยวิธีการสันติ

แต่ปรากฏว่าพวกทหาร และพวกข้าราชการ รวมทั้งพวกนายทุนน้อย นายทุนใหญ่ มิได้พากัน "รับไม้ต่อ" แม้แต่คนเดียว

ตรงกันข้าม พวกเขากลับพากัน "สนุกสนาน" อยู่กับการกดขี่ขูดรีด เพิกเฉยต่อการปฎิวัติสังคม พวกเขายังคงมุ่งหน้าหาประโยชน์จากคนรากหญ้า อย่างไม่จบสิ้น

ผมได้มีโอกาสพบอาจารย์ประเสริฐอีกครั้งในปี ๒๕๒๙ ห่างจากวัน สิ้นสุดสงครามกลางเมือง ๕ ปี อาจารย์ประเสริฐ รู้สึกเหนื่อยอ่อนมาก ท่านกล่าวว่า "เผด็จการไม่สำนึก" มองไม่เห็นวี่แววว่าประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยได้ แต่ผมยังคงยืนยันแนวทางปฏิวัติสันติ ท่านว่าอย่างนั้น แต่แววตาของ "นักปฏิวัติ" ยังคงมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง

ท่านผู้อ่านครับ หลังจากนั้น ผมได้กลับไปตะวันออกกลาง และได้เฝ้า ติดตามข่าวการแก้ไขปัญหาของชาติทั้งในระดับล่างและระดับบน ไม่ปรากฏว่า ชนชั้นสูงจะสำนึกในวิกฤติชาติตั้งแต่ปีเสียงปืนแตก (๒๕๐๘) มาจนถึงปี ๒๕๒๓ พวกเขายังคงเพิกเฉยต่อเงื่อนไขในอดีต และทำเป็นทองไม่รู้ร้อนราวกับว่า ประเทศไทยมิได้มีปัญหาใดๆมาก่อน

ผมได้ทำหน้าที่ "วิเคราะห์" ปัญหาสังคมไทยในหมู่ของกรรมกรโดยเฉพาะ ได้ไปพบ ทนง เหล่าวานิช ที่รีสอร์ทไทรเอน ปากช่อง เราได้บทสรุป ๕ ประการ ดังนี้

๑. นักการเมืองที่ถือว่าเป็น "หัวหอก" ของกระบวนปฏิวัติสังคมทั้งหมด ไม่มีพรรคการเมืองไหน แสดงจุดยืนแนวทางประชาธิปไตย พวกเขายังคงไม่เข้าใจ ในปัญหาของชาติในทุกรูปแบบ แต่ได้ทำตัวเป็นผู้พหูสูตร เก่งทุกเรื่อง แต่เป็นความเก่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

๒. ทหารที่เพิ่งถอนตัวมาจากสนามรบ ยังคงเป็นทหารที่ทรงอำนาจ พวกทหารยังคงยื้อแย่งตำแหน่ง ยื้อแย่งความเป็นใหญ่ ใช้อำนาจผ่านกระบวนการ การเมือง อาศัยอำนาจของกองทัพเข้าไปมีบทบาทในระดับผู้ถือบังเหียนประเทศ ทหารไม่ได้เสนอแนะพรรคการเมือง และไม่ได้วิพากย์วิจารณ์พรรคการเมือง ในแนวประชาธิปไตย แต่ได้ตำหนิการซื้อสิทธิ์ ขายเสียง แล้วพากันถือเป็น "มูลเหตุ" ที่จะทำการตะครุบอำนาจการเมือง

๓. ข้าราชการทั้งหลายกลายเป็น "หุ่นยนตร์" ของระบอบเผด็จการ นักการเมือง สั่งซ้าย สั่งขวา และบัญชาการอย่างไรก็ทำได้จนหมด ไม่มีใครกล้า หาหนทางช่วยเหลือประชาชน

๔. นายทุนใหญ่ นายทุนเล็ก ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นพวกกดขี่ขูดรีด พวกเขา ยังคงรุมหาผล ประโยชน์จากคนรากหญ้าอย่างสนุกสนานสำราญใจ ใครอยากรวย อะไรก็จะเร่ลงไปวางแผน ตกเขียว พากันสร้างกฏหมายอันไม่เป็นธรรม เกาะเกี่ยว เอาผลประโยฃน์ตามใจชอบ

๕. นายทุน ขุนศึก ศักดินา ยังคงมีพฤติกรรมเลวร้ายไม่แตกต่าง จากอดีต ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ได้สรุปปัญหาของชาติเอาไว้

ท่านผู้อ่านขอรับ ปัญหาทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวนี้ ล้วนแต่เกิดมาจากความย่ามใจ คล้ายกับว่าตัวเอง "ชนะสงคราม" ที่สามารถทำให้ พคท. ยุติสงครามลงได้ ด้วยคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓

หลังจากนั้น ต่างพากัน "ฉลองชัยฃนะ" ด้วยการกดขี่ขูดรีดสุดลิ่มทิ่มประตู เมื่อผมได้วิเคราะห์สถานการณของประเทศไทยเช่นนั้น ผมเกิดความรู้สึก ผิดหวังใน ความเพียรพยายามที่จะทำงานเพื่อชาติ เมื่อทำสำเร็จไปขั้นหนึ่ง แทนที่จะเกิดการเปลี่ยน แปลงที่ดีขึ้น มันกลับจมดิ่งลงสู่ความล้มเหลว ที่ล้มเหลว มากที่สุด ได้แก่ไม่เคยมีใครค้นคิด หาหนทางสร้างระบบบริการมนุษย์ให้ได้รับความปลอดภัย และมีความั่นคง อันหมายถึง ประเทศไทย "ไร้รัฐสวัสดิการ" ในหมู่คนรากหญ้า

แต่คนรวยและพวกข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพวกลูกจ้างชั้นดี จะมีเงินบำเหน็ด หรือบำนาญ ตอบแทนเมื่อลาออก หรือถึง คราวทำงานได้รับ เงินช่วยเหลือในวัยเกษียณอายุ ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร คนรากหญ้าจำนวน ไม่น้อยกว่า ๔๒ ล้านคน ตกอยู่ในสภาพ ไร้ที่พึ่ง หมูหมาไม่เคยเหลียวแล

คนรากหญ้ายงคงเป็นพลเมืองชั้นสอง หาที่พึงไม่ได้ จะได้อะไรแต่ละครั้ง ต้องรอให้น้ำท่วมใหญ่ ไฟไหม้บ้าน พายุถล่ม แล้วก็ได้ "ถุงยังชีพ" เอามาปลอบใจ

มันเป็นอยู่อย่างนี้ นับครั้งไม่ถ้วน ผมคิดของผมอยู่ในใจว่าพรรคการเมืองของประเทศ และพวกขุนนางทั้งหลาย คงจะไม่ มีความเข้าใจต่อปัญหาของชาติ พวกเขาจะพากัน "ปล่อยทิ้ง" และจะพากัน "ชุบมือเปิบ" กอบโกยความร่ำรวย บนหยาดเหงื่อแรงงานของคนยากจน

ตัวผมคิดเอาเองว่า คนชื่อ "สอาด จันทร์ดี" ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ที่จะได้ทำงานเพื่อสังคม ที่ดีกว่า ชีวิตมาถึงวัยนี้แล้ว มองไม่เห็นว่าจะมี "ช่องทาง" ตรงไหนที่จะทำให้สังคมตื่นจากหลับไหล

ผมบอกกับตัวเองว่า ชีวิตนี้คงล้มหายตายจากไปอย่างไร้คุณค่าเหมือนนักประชาธิปไตยรุ่นพี่ ที่ตายจากไป เช่นวีระ ถนอมเลี้ยง บุญเที่ยง เจริญพิทักษ์ ทนง เหล่าวานิช และ คนอื่นๆอีกหลายคน

แต่แล้ว...อย่างไม่คาดฝัน ทหารยึดอำนาจอีกครั้ง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙และแล้วก็ได้เห็น "วีระ มุสิกพงศ์" นำมวลชนหยิบมือหนึ่งสู้กับเผด็จการและแล้วก็ได้เห็นเด็กหนุ่มผู้หาญกล้า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ ชินวัฒน์ หาบุญพาด และอีกหลายคนกระโดดออกมาท้าตีท้าต่อย เล่นเอาเผด็จการ ถึงกับเซแซ่ด ๆ จนทำท่าจะไปไม่รอด

ตรงนี้เอง ได้ชุบชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่ง ผมลุกขึ้นมาเขียนหนังสือ"สนับสนุนการต่อสู้" ตั้งแต่วันแรกที่โพธิรักษ์ พันธมิตร และมหาจำลอง ยกกองทัพธรรม เล่นงาน พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ก่อปัญหาเลวร้ายขึ้นมา ทำให้งานขอผมเริ่มกระเตื้องขึ้นแต่บัดนั้น

ผมขอขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณองค์พระสยามเทวาธิราช ที่ทรงเบิกฟ้าให้ชนชั้นรากหญ้าได้ขยับเข้ามาทำสงครามกับพวกเผด็จการอีกครั้งหนึ่ง การได้ รุกรบของคนเสื้อแดง ในหนนี้ เชื่อแน่ว่าจะไม่พังทะลายเหมือนคราวปฏิวัติสันติ (๖๖/๒๕๒๓)

แต่มันจะเป็นทั้งกองกำลังและอำนาจ อันบริสุทธิ์ของมวลชนรากหญ้า ว่าพวกเขาต้องการประชาธิปไตย ต้อง การความเป็นธรรม แล้วจะเป็นยุคสิ้นสุดของพวก "ย่ามใจ" ในโอกาสอันไม่นานเกินรอ

แต่ผมก็เชื่อว่าพวกเผด็จการคงไม่ยอม พวกเขายังคงย่ามใจที่จะถือ อำนาจบาตรใหญ่ โดยมีนายทหารใหญ่ พันธมิตรใหญ่ และพรรคการเมืองใหญ่ พากันห้อมล้อมให้การสนับสนุนให้รบแตกหักกับ "คนเสื้อแดง" โดยไม่หวังพึ่งความสมานฉันท์ใด ๆ ทั้งสิ้น

ไม่เป็นไร ให้มันย่ามใจไป ฮึกเหิมไป คนเสื้อแดงตื่นแล้ว...ตัวเองก็พร้อมจะรับใช้ด้วยการเขียนชำแหระ เสนอแนะแนวทาง ให้ทุกคน ทุกฝ่ายให้ได้ยิน ผมจะไม่เสนอแบบสุ่มเสี่ยง ข้อเสนอของผมจะตรงประเด็น ตามรูปแบบของ อาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ที่ได้สอนเอาไว้...ขอรับ.

เผด็จการโปรดจำเอาไว้ว่าความย่ามใจ ได้ทำลายโอกาสในการ สร้างประชาธิปไตย !

จบบทที่ ๒๓ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น