วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 37 ถวายฏีกา เป็นเรื่องวิเศษ

บทที่ ๓๗ ตอน : ถวายฎีกา เป็นเรื่องวิเศษ ?!

ท่านผู้อ่านได้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” มาจนถึงบทที่ ๓๖ ! ขณะนี้กำลังขึ้นบทที่ ๓๗ ผมขอเรียนสถานการณ์แบบวันต่อวัน ให้ทราบว่า การถวายฎีกาได้เดินมาถึงจุดนัดหมายแล้ว คือวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๒ คนเสื้อแดงนับแสนจะพากันแน่น ท้องสนามหลวง !

โชคดี ! ไม่มีข่าวทหารออกมาเคลื่อนไหว

แต่มีข่าวเลวจากหัวเมืองทั่วประเทศว่า กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด นำพาประชาชนร่วมกัน “ต่อต้าน” การถวายฎีกา แต่ไม่ปรากฏว่าจะมีประชาชนให้ความ ร่วมมือ นอกจากไม่ให้ความร่วมมือดังว่ายังเอาข่าวมาปูดให้เป็นที่ อับอายขายหน้าอีกต่างหาก ทำให้เห็นความชั่วของกระทรวง มหาดไทยชัดเจนยิ่งขึ้น

ใบปลิวกู้ชาติบทนี้เขียนวันที่ ๑๖ สิงหาคม/๕๒ อีกวันเดียวก็จะถึงกำหนดนัดหมาย

ผมเดาไม่ออกว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นหรือไม่ แต่มีความรู้สึก ลึก ๆ อยู่ในใจว่า “ทหารคงไม่กล้าที่จะใช้กองกำลังปราบปราม คนเสื้อแดง” เพราะว่าถ้าทหารทำเช่นนั้น แทนที่บ้านเมืองจะสงบ มันจะกลับกลายเป็นนรกลงหัว อีกอย่างหนึ่งนอกจากนรกจะลงหัว แล้ว ยังจะนำ “สงครามกลางเมือง” [Civil War] มาสู่ ประเทศไทยอีกด้วย

หรือว่าทหารอาจจะทำการยึดอำนาจอีกครั้งเหมือนกับ เมื่อครั้งการยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในปี ๒๕๔๙ อันเป็นต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหมด ที่กำลังกระหน่ำประเทศไทย อยู่ในขณะนี้ การทำรัฐประหารในครั้งนั้น (๑๙ กันยายน/๔๙) ! ได้ก่อความวิบัติย่อยยับทั้งในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทหารยังกล้าที่จะยึดอำนาจอีกกระนั้นหรือ ?

คงจำกันได้ไอ้ตัวมารร้ายที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความวิบัติ ย่อยยับ แทนที่จะรู้ตัวเองว่าเป็นคนก่อความเดือดร้อนให้แก่ประเทศ กลับโยนความผิดไปยัง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้ก่อ ความเสียหาย แล้วพากันประกาศออกมาว่า “ถ้าไม่มีทักษิณคนเดียว ทุกอย่างจะดีขึ้น..” ?

การประกาศเช่นนี้ ทำให้ผม “ตีความ” ได้หลายสถาน เช่นตีความว่า “ลอบสังหาร” ให้ตายไปจากโลกนี้ หรือจัดการ ให้กลายเป็น “นักโทษ” ตลอดกาล จะได้หมดความชอบธรรม ในทุกกระบวนการ จนไม่สามารถกลับเข้ามาสู่ถนนการเมืองได้ ถ้าทำได้เช่นนี้ ก็จะทำให้พวกเผด็จการมีความเชื่อมั่นว่าจะไม่มีใคร มาขัดขวาง “พวกเขา” อีกแล้ว

“พวกเขา” พวกนั้น หมายถึงพรรคประชาธิปัตย์ และ พวกเผด็จการทั้งหมด อันประกอบด้วย “นักการเมือง ทหาร ข้าราชการ และเจ้าสัวใหญ่” ซึ่งเป็นกลุ่มครอบครองอำนาจ ในประเทศอย่างยาวนาน การครอบครองของพวกเขา-พวกนั้น ล้วนแต่เป็นวิธีการของพวกอนุรักษ์นิยมผสมเผด็จการผูกขาด ทำให้เกิดความแตกต่างทางสังคม และแตกต่างในประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยของประเทศไทยนั้น ! ถ้าเป็นคนรากหญ้า และคนยากคนจน จะพากันเรียกประชาธิปไตยที่ตัวเองได้รับว่า “ประชาธิปไตย-ครึ่งใบ” แต่ถ้าเป็นเจ้าสัว และประดาขุนนาง ทั้งหลาย จะพากันเชิดชูว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย “เต็มใบ” !

ผมขอเรียนว่าเหตุที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตย ๒ อย่าง ก็เพราะคนรวยและพวกขุนนางทั้งหลาย ได้รับอำนาจ อิสรเสรีภาพ และความอิ่มเอิบอย่างอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องการอะไร ไม่ว่ายากหรือลำบากเพียงไร ก็จะได้อย่างสมหวัง พวกเขา จึงเกิดความรู้สึกว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่เต็มใบทุกด้าน

แต่ “คนจน” และคนรากหญ้า ขาด ๆ วิ่น ๆ จึงเป็น ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมาเพียงเล็กน้อยที่แท้มันคือ “เรื่องใหญ่” และร้ายเหลือ ! สุดจะประมาณได้ เรื่องใหญ่เรื่องนี้ ได้ส่งผลให้คนไทยเกิดความขัดแย้งกันทั้งแผ่นดิน ดังจะเห็นได้ว่า วันนี้ คนเสื้อแดงเขาพากันรวมตัวกันมากกว่า ๕ ล้านคน ขอถวายฎีกา เพื่อจะกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่าพสกนิกร “มีความทุกข์” ทั้งทางกายและทางใจ

แต่ก็ยังมีพวกขุนนางอำมาตย์และกลุ่มเผด็จการ (ทั้งเผด็จการหลวง และเผด็จการเอกชน) ! ต่างออกมาคัดค้านกันอึงมี่ กลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ว่าประเทศไทยนี้แปลกเหลือเกิน ประชาชนเขาพากันหันหน้า “หมอบคลานเข้าหาองค์พระ มหากษัตริย์” กราบขอพระเมตตาเป็นที่พึ่ง ว่าพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงประทานความร่มเย็นมาให้ ทั้งนี้เนื่องจาก ไม่มีทางไหนที่จะได้รับความเห็นใจจากรัฐบาล

ตรงกันข้าม รัฐบาลพากันต่อต้านอึงมี่ จะอึงมี่เพียงไรคงไม่อาจยับยั้งคนเสื้อแดงได้

คนเสื้อแดงเดินทางมาถึงสถานีปลายทางแล้ว จะให้ “ถอยกลับ” นะเหรอ...เมินเสียเถอะ ? หรือแม้ว่าจะมี “มือเปรต- มืออสุรกาย” ยื่นออกมาขัดขวาง ก็จะถูกถ่านไฟแดงของคนเสื้อแดง เผาไหม้จนเน่าเปื่อยลงต่อหน้าอย่างแน่นอน

ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ “พสกนิกร” พากันแห่ ขอถวายฎีกา นับว่าเป็นเรื่องวิเศษอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจาก การถวายฎีกาเป็นเครื่องวัดถึงใจของ “คนเสื้อแดง” ยังพากัน รักเคารพและเทิดทูนองค์พระประมุขอย่างไม่เสื่อมคลาย และยังสะท้อนให้เห็น “ความจงรักภักดี” มิได้เปลี่ยนแปลง แต่ประการใดเลย

ผมอยากจะเปรียบเรื่องนี้กับประเทศรัสเซีย-อิหร่าน และลาว ซึ่งเคยมีกษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่เหมือนประเทศไทย แต่เมื่อเกิดความ ขัดแย้งในระดับ “สถาบัน” ขึ้นมา ไม่ปรากฏว่าประชาชน จะพากันหันหน้าไปขอพึ่งพระบารมี ตรงกันข้าม กลับปรากฏว่า ทั้งคนรัสเซีย คนอิร่าน และชนชาติลาว ไม่ยอมถวายฎีกาแม้แต่ ฉบับเดียว

ผู้คนในชาติเหล่านั้นต่างพากันหันหลังให้แก่ราชวงศ์ และได้ล้มล้างระบอบการปกครองไม่มีเหลือ

ราชวงศ์โรมานอฟ [Romanov Dynasty] ในประเทศรัสเซียสิ้นไปจากแผ่นดินเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๑๗ (๒๔๖) ราชวงศ์ลาว สิ้นไปเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๕ (๒๕๑๘) ราชวงศ์อิหร่าน สิ้นไปจากเปอร์เซียเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๗๙ (๒๕๒๒) โดยที่ไม่ปรากฏว่า ประชาชนในประเทศเหล่านั้นอยากจะใช้วิธีการแก้ปัญหาด้วยการ ขอถวายฎีกา

คนเสื้อแดงมีนัดหมายที่จะถวายฎีกาในวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๕๒ อันเป็นวันระทึกใจอย่างยิ่งของพสกนิกรว่าจะได้ถวายฎีกา จึงถือได้ว่าเป็นของวิเศษที่น่าปลาบปลื้มยิ่งนัก

แต่ก็น่าสังเวชใจเหลือเกิน สิ่งที่ได้พบเห็นได้แก่พวกเผด็จการ “ชาติไทยด้วยกัน” ทำตัวเป็น “พญามาร” ขัดขวางด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังที่ได้พบเห็นว่า พวกเขาแห่ไปขู่เข็นข้าราชการทั่วประเทศให้แห่ออกมาต่อต้าน คนเสื้อแดง

วันนี้ผมขอเขียนใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ ยกเรื่องราวของ ราชวงศ์รัสเซีย ที่ล่มสลายพร้อมกับได้ยกเอาตัวชื่อของประเทศลาว และอิหร่านขึ้นมาอ้างอิงว่า ประเทศเหล่านั้น ไม่มีใครคิดถึงการ ถวายฎีกา ตรงกันข้าม มีแต่เสียงกู่ตะโกนขับไล่ ฮือเข้าทำร้าย จนราชวงศ์คู่บ้านคู่เมืองมีอันสิ้นสุดลง จนกลายเป็นตำนานล่าขาน ที่ไร้ความหมาย

ไร้ความหมาย...หมายถึงสิ้นแล้วสิ้นเลย
ไม่มีผู้ใดกราบไหว้ ?!

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ใบปลิวกู้ชาติ บทที่ ๓๗ เป็นใบปลิว ชิ้นที่มีความสั้นไม่กี่ประโยค แต่ในแต่ละถ้อยคำ ได้กลั่นให้เห็น “ความหมายอันยิ่งใหญ่” ของการถวายฎีกาว่า เป็นมิติแห่งความรัก และความหวัง

ผมอยากให้ “สังคมไทย” ทั้งสังคม โปรดมองการ ถวายฎีกาให้ถึงแก่น แล้วจะมีความอิ่มเอิบที่ซ่อนปนกันอยู่ใน ความเจ็บปวด ที่เกาะกินหัวใจสุดจะพรรณนาได้ การที่พี่น้อง คนไทย “แห่ออกมา” ขอถวายฎีกา ถือเป็นของวิเศษยิ่งนัก

ใครก็ตาม ที่ปฏิเสธการถวายฎีกา และได้ต่อต้านการถวายฎีกา สุดท้ายมันจะกระชากหัวใจประชาชนให้เกิดความรู้สึก อันน่ากลัว ถ้าพวกเขาไม่อยากถวายฎีกาขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้น กับสถาบันของประเทศไทย !?

จบบทที่ ๓๗ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น