วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

บทที่ 31 ไม่อยากเห็นไทยนองเลือดก็จะได้เห็น

บทที่ ๓๑ ตอน : ไม่อยากเห็นไทยนองเลือดก็จะได้เห็น ?!

กราบเรียนท่านผู้อ่าน “ใบปลิวกู้ชาติ” ทุกท่าน ทั้งที่ได้อ่านบางบทหรือรวมทั้งท่านที่ได้อ่านมาถึงบทที่๓๐ และต่อมาถึงบทที่ ๓๑ ที่อยู่ในสายตาของท่านในขณะนี้ ผมขอกราบเรียนว่า ผมได้พูดเอาไว้ในรายการ “เสียงประชาชน” สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม P-Channel หรือ D- Station เดิม เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒ (ในฐานะผมเป็นพิธีกร)

โดยมีเนื้อหาว่า ถ้าฝ่ายรัฐบาลและพวกอำมาตย์ “ยอมรับฟัง” ด้วยการยื่นมือมารับหนังสือกราบบังคมทูลถวายฎีกา ไม่ขัดขวางด้วยประการทั้งปวง ก็จะทำให้ข้อขัดแย้งของคนไทยเริ่มลดความตึงเครียดลงทันตาเห็น

แต่ถ้าพวกอำมาตย์ “ไม่ยอมรับ” ไม่มีทีท่าว่าจะปรองดองกันได้ คนไทยก็จะเริ่มนับถอยหลัง หรือนับเคาน์ท์ดาวน์ [Countdown] จะออกหัวออกก้อยภายใน ๔ – ๕ วันข้างหน้านี้ จึงขอให้ทุกคนมีสติเฝ้าระวังเหตุร้าย

จะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ขอความกรุณาท่านผู้อ่านโปรดติดตาม “ใบปลิวกู้ชาติ” บทที่ ๓๑ ณ บัดนี้ครับ

ขอกล่าวว่าวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ณ ท้องสนามหลวง ! เป็นวันประวัติศาสตร์

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาเป็นคนไทยเพิ่งได้มีโอกาสถวายฎีกาแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อจะขอกราบบังคมทูลความทุกข์ร้อนของพสกนิกรให้ทรงทราบ รวมทั้งเป็นการกราบบังคมทูลขอพระราชทานโอกาสให้แก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกการเมืองอันไม่เป็นธรรมกลั่นแกล้งเล่นงาน ถูกศาลพิพากษาให้ติดคุก ๒ ปี

การถวายฎีกาในครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกของชีวิต ผมจึงมีทั้ง ดีใจและเสียใจระคนกัน ? ! ที่ดีใจได้แก่ประเทศนี้ยังมีโอกาสได้ถวายฎีกา แต่ที่ “เสียใจ” ก็เพราะจำนวนประชาชนมากมายถึง ๕ ล้านคนพากันเทใจ ใช้เวลาไม่ถึงเดือนในการลงชื่อถวายฎีกา ก็สามารถมีจำนวนผู้คนมากเกินกว่าที่พวก “แกนนำ-นปช.”ได้ประกาศเอาไว้แต่แรก จำนวนคนที่เต็มใจลงนามมีมากมายขนาดนี้ไม่ได้ทำให้พวกเผด็จการรับรู้ปัญหา พวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาที่จะขัดขวางแทบว่าจะเอาเป็นเอาตาย เช่น ส่งทหารลงไปแจ้งข่าวแก่ประชาชนจนถึงบันไดบ้าน รวมไปถึงการตั้งโต๊ะให้ประชาชนพากันไปถอนชื่อทั่วประเทศ

เห็นการกระทำของพวกเผด็จการแล้วแสนจะเสียใจสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความเสียใจมากที่สุด (แต่มันเป็นความเสียใจล่วงหน้า ) ผมไม่อยากเห็นประเทศไทย “นองเลือด” ! ผมก็จะได้เห็น ...ผมเสียใจตรงนี้

มิใช่แต่เท่านี้ หากประเทศไทยนองเลือด สถาบันหลักของชาติก็จะมีอันได้รับความบอบช้ำ จะเกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดินของเรา ผมไม่อาจพยากรณ์ได้ แต่สิ่งที่พยากรณ์ได้เลยก็คือ จะมีคนทำให้ “พระเจ้าแผ่นดิน” บอบช้ำอย่างร้ายแรง

เมื่อผมกล่าวเช่นนี้ ผมขอนำรายละเอียดมาเล่าให้ฟังนี้ ดังนี้ครับ

“ขอกล่าวว่าผู้คนในประเทศไทยได้รับประชาธิปไตยที่แตกต่างกัน” กล่าวคือพวกแรก ได้แก่ นายทุน ขุนศึก ศักดินาพากันป่าวประกาศว่าประเทศไทยมีประชาธิปไตยทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นจริงตามที่พวกเขาปาวประกาศ ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพวกเขารวย มีอำนาจ มีสติปัญญาทันสมัย พวกเขาย่อมไม่ขาดแคลนอะไรเลย พวกเขามีประชาธิปไตยในสังคมไทยครบทุกอย่าง

พวกเขาป่าวประกาศเช่นนี้ย่อมไม่ผิด

แต่ที่ผิด...ได้แก่คนอีกพวกหนึ่ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่ ไม่มีสวัสดิการ ตกงาน ไร้อาชีพ ไม่มีที่ทำกิน ครอบครัวยากจน ตกเป็นทาสเงินกู้ ถูกสังคมนายทุน ขุนศึก และศักดินา เอารัดเอาเปรียบไม่มีความเจริญ

สรุปแล้วคนจำนวนน้อยนิดบอกว่าไทย “มี”ประชาธิปไตยแล้วแต่คนจนจำนวนมากบอกว่าไทยยัง “ไม่เป็น” ประชาธิปไตย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงได้พบเห็นคำ ๒ คำ คือคำว่า “มี” กับคำว่า “เป็น” ซึ่งมันแตกต่างกัน ทำให้ประชาธิปไตยในประเทศไทย จึงเป็นได้เพียง “ครึ่งใบ” เท่านั้น

ท่านครับ ผมขอรวบรัดเข้าหาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ที่ได้ประกาศต่อสู้กับพวกนายทุน ขุนศึก ศักดินา ถึงขั้นจัดตั้งกองทัพ ใช้แนวทาง “ยึดอำนาจรัฐด้วยอาวุธ” เริ่มลงมือยิงกับตำรวจเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๐๘ ที่อำเภอนาแก ต่อมา พคท.ได้เรียกการต่อสู้ในวันนั้นว่า “วันเสียงปืนแตก”
หลังจากนั้นก็ได้รุกรบกันด้วยเวลาอันยาวนาน มีคนล้มตายทั้งสองฝ่ายน่าอนาถใจยิ่ง จนกระทั่งได้มีการออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ เกิดขึ้น ทหารป่า “ทิ้งอาวุธ” เข้ามอบตัว ทุกคนเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทยในกลางปี ๒๕๒๕ ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกเอาไว้ว่า

กองทัพปลดแอกแห่งประเทศไทยได้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยจนเกลี้ยง ทำให้ป่าทั้งป่าไม่มี กองกำลังของคอมมิวนิสต์หลงเหลืออยู่เลยประเทศไทยได้ “ตอกฝาโลง” ในเรื่องปฏิวัติด้วยอาวุธตั้งแต่บัดนั้น

ทว่า หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้ตอกฝาโลงตนเอง เอาตัวเข้ามาร่วมทำงานทั้งในฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลรวมไปถึงการเป็นพ่อค้าใหญ่ เป็นครูบาอาจารย์ และเป็นข้าราชการ ไม่เคยปรากฏว่าทหารและรัฐบาลจะพากัน “พัฒนาประชาธิปไตย” พวกเขายังคงทิ่มตำสังคม ทำตัวเป็นเจ้าพ่อมาเฟียร์ กดขี่ขูดรีดประชาชน เคยเอารัดเอาเปรียบอย่างไร ก็ยังเอารัดเอาเปรียบเหมือนเดิม ร้ายที่สุดได้แก่การ “ยึดอำนาจ” ไม่รู้จักจบสิ้น (๑๙ กย./๔๙) !

ยึดอำนาจยังไม่พอ ยังได้สวมวิญญาณชั่ว ใช้วิธีการใส่ร้ายป้ายสีเล่นงานคนดี ใส่ความว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี อันเป็นข้อหา “ร้ายกาจรุนแรงและแสนชั่ว” ประหนึ่งถูกจับมัดตราสังข์เอามีดสับ แล้วเอาเกลือทาก็ไม่ปาน

พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร ถูกฆ่าให้ตายทั้งเป็น !ประชาชนเขารู้ และเขาเข้าใจว่า ทักษิณ เป็นคนดี เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนเก่งของแผ่นดิน สามารถแก้ไขไปปัญหา “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” ได้ในระดับหนึ่ง กำลังจะแก้ได้เป็นอย่างดี ก็มีอันถูกพวก “เผด็จการถลุงจนป่นปี้” จึงพากันเจ็บใจแสนสาหัส

เมื่อนายวิระ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ออกข่าวป่าวประกาศว่าจะถวายฎีกา ๑ ล้านคน จึงมีผู้คนหลั่งไหลแสดงตนขอเข้าร่วมถวายฎีกามากมายเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้หลายเท่าตัว

ทว่า...เมื่อวันเวลาเดินทางถึง ๓๑ กรกฎาคม/๕๒?สิ่งที่ปรากฏให้เห็นนั้น แทบไม่น่าเชื่อว่า “ทหารและรัฐบาล” ได้พากัน " ต่อต้าน”อย่างเอาเป็นเอาตาย จนสรุปได้ในวันนี้ (๓ สิงหาคม/๕๒) ว่าพวกอำมาตย์ไม่สนับสนุนการถวายฎีกาไม่ว่ากรณีใด ๆ ทำให้ตัวผมกล้าที่จะพยากรณ์ ออกมาว่า สงสัยประเทศไทยจะไม่พ้นการนองเลือด

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมมีเหตุผลสนับสนุนขอรับ

เหตุผลมีอยู่ว่าโนโลกมนุษย์นี้ ไม่ว่าการเมืองหรือศาสนา จะเกิดการ โค่นล้มสิ่งที่คร่ำครึเก่าแก่ให้หมดไปด้วยการ“ปฏิวัติ”[Revolution] ดังที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกก เหตุผลของ การปฏิวัติเกิดมาจากการ “เปลี่ยนผ่าน“ตามกาลเวลา อันไม่อาจระงับยับยั้ง เอาไว้ได้ซึ่งตรงกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาว่า “ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน”

การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เหตุผลในการเปลี่ยนแปลงก็เพื่อจะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ให้ดีกว่า จะจัดระเบียบสังคมใหม่ให้ทันกับสังคมที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนผ่าน เกิดขึ้นได้ ๒ วิธี
หนึ่ง ! เปลี่ยนผ่านโดยการถูกโค่นล้มด้วยกำลังอาวุธ
สอง ! เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการสันติวิธี

สำหรับประเทศไทยของเรานั้น การเปลี่ยนผ่านตามข้อหนึ่งได้ “มอดดับ”ลงอย่างสิ้นเชิงการปฏิวัติด้วยอาวุธ ถูกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ ตอกฝาโลงสิ้นสภาพไปแล้ว

เหลืออยู่แต่อย่างที่ “สอง” ได้เข้ามาเป็นป้อมปราการประเภทใหม่ จะทำให้ประเทศไทยไม่อาจ “หลีกหนี” การเปลี่ยนผ่านได้ แต่การเปลี่ยนผ่านในวิธีนี้มีอยู่ ๒ ประการที่แตกต่างกัน ได้แก ่(๑) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการ “นุ่มนวล” และ (๒) เปลี่ยนผ่านด้วยวิธีการร้ายกาจรุนแรง

คำอธิบายของเรื่องนี้มีอยู่ว่า ถ้าเป็นการโค่นล้มด้วยอาวุธ ผู้โค่นล้มเป็นผู้กำหนดชัยชนะสงคราม เมื่อสังคมเก่าพ่ายแพ้ ความเลวร้ายจึงจะยุติลง แต่การเปลี่ยนผ่านด้วยสันติวิธีนั้น แตกต่างกัน กล่าวคือผู้ขอ (คนเสื้อแดง)ไม่ใช่ผู้กำหนดเป้าหมาย แต่ผู้ให้ (อำมาตย์และรัฐบาล) เป็นผู้ชี้ขาดสถานการณ์ อันหมายถึงถ้าให้แต่โดยดี ทุกอย่างก็จะจบลงแต่โดยดี

แต่ถ้า “ปฏิเสธ” ก็จะเกิดการต่อสู้กันขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมือง ถึงเวลานั้นก็จะเกิดการปะทะ และการเข่นฆ่ากันขึ้น อันจะเป็นต้นเหตุของการนองเลือดระหว่างคนไทยต่อคนไทยด้วยกัน ถ้าประเทศไทย “นองเลือด” ร้ายกาจรุนแรง มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง [Civil War]

เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นใน อเมริกาในปี ๑๘๖๑ – ๑๘๖๕ รวมเวลา ๔ ปี และได้เกิดเหตุอย่างนี้ในรัสเซียปี ๑๙๐๓ – ๑๙๑๘ เกิดในจีนปี ๑๙๔๙ - ๑๙๕๒ !เกิดในลาว เขมร เวียดนาม ปี ๒๕๑๘ (๑๙๗๕) !

ผมเห็นบทบาทของอำมาตย์และเผด็จการ ณ เวลานี้ที่ออกคำสั่งไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และ อบต. ทั่วประเทศ (๔ สิงหาคม/๕๒) ให้คนไทยทุกคน “สวมใส่” เสื้อเหลือง ออกมาคัดค้านการถวายฎีกา แล้วถ่ายรูป ส่งกระทรวงมหาดไทย เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่เห็นด้วยกับการยื่นถวายฎีกา ทางกระทรวงมหาดไทยจะได้ แสดงพลังให้ชาวโลกดู หรือไม่ก็ทำข่าวให้โด่งดังทั่วโลก อันเป็นวิธีการแก้ปัญหาในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน

ท่านผู้อ่านครับ ผมได้รับข่าวค่อนข้างเชื่อถือได้ ข่าวไม่เหลวไหลอย่างแน่นอน กระทรวงมหาดไทยสั่งการว่า หากผู้ใดขัดขืน ให้ตำหนิ ติเตียน ตัดเงินเดือน !ลงโทษให้เข็ดหลาบ ?

ผมนั่งตัวเย็นเฉียบ นึกไม่ถึงว่าประเทศไทยจะใช้วิธีการเช่นนี้แก้ปัญหาผมเกิดความเสียใจล่วงหน้า เพราะเชื่อว่าปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า ประเทศไทย คงไม่พันการนองเลือดเป็นแน่.. ?!

จบบทที่ ๓๑ สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น