วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

บทที่ ๔๕ บทสุดท้าย “ตอนจบ” ใบปลิวกู้ชาติ

ผมได้ทำงานรับใช้ “ท่านผู้อ่าน” มาถึงวันอำลาแล้วครับ

ใบปลิวกู้ชาติฉบับนี้เป็นฉบับตอนจบ (๘ กันยายน ๒๕๕๒) !

จบลงด้วยการ “ขมวดปม” ให้เข้าใจง่ายขึ้นว่าปัญหาของชาติคืออะไรบ้าง พร้อมกับมีข้อเสนอแนะที่เข้าใจง่ายอีกเช่นกัน เพื่อทุกฝ่ายจะได้นำเอาไปใช้เป็น “แนวทาง” แก้ปัญหาของชาติโดยส่วนรวม ให้หลุดไปจากวิบากต่างๆที่เผชิญหน้าประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

ผมขอกราบเรียนกับท่านว่า “บทสุดท้าย” อันเป็นตอนจบของใบปลิวกู้ชาติ จะมีความยาวไม่มาก ผมจะรีบย่นย่อให้กระชับ ดังนี้

ปฐมเหตุที่ ๑ : สาเหตุหลัก ๕ ประการ

ประการที่หนึ่ง : ที่ทำให้ประเทศไทยเกิดปัญหาร้ายแรงจนแทบว่าแผ่นดินจะแตก เกิดจากพวก “ขุนนาง” และพวกอำมาตย์ใหญ่ “ทั้งอำมาตย์หลวงและอำมาตย์เอกชน” เป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ มีความทะเยอทะยานอยากในอำนาจมากมาย กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติโดยส่วนรวม ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมความเป็นอยู่ เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกบคนจน-จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก

ประการที่สอง : พวกขุนนางและอำมาตย์พากันกระทำความผิดต่อตัวบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันด้วยความไม่เป็นธรรม เป็นการ “กลั่นแกล้ง” ทางการเมืองที่โฉดชั่วด้วยการใช้กำลังทหารเผด็จการ “ยึดอำนาจการปกครอง” แล้วกุเรื่องอันเป็นเท็จ ใส่ความ กล่าวหา ตั้งข้อหาราวกับว่าเขาผู้เป็นโจรร้าย เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้หยิบยื่นข้อกล่าวหา “หาว่าใฝ่จะเป็นประธานาธิบดี” อันเป็นการตั้งข้อหาของพวกเผด็จการที่บ่อนทำลายความสามัคคีอย่างร้ายแรงที่สุด

ประการที่สาม : แม้ข้อกล่าวหาจะร้ายแรงเพียงไร พวกเผด็จการหาได้หยุดการกระทำไม่ ยังคง “เดินหน้า” กล่าวหาต่อไปด้วยการแยกคนพวกหนึ่ง (คนเสื้อเหลือง) รักเจ้ามากที่สุด อีกพวกหนึ่ง (คนเสื้อแดง) ถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำจะล้มล้างระบอบการปกครอง อันเป็นการแยกคนในชาติให้เกิดความแตกแยกที่ไม่เคยมีมาก่อน

ประการที่สี่ : ทั้งหลายทั้งปวง ปรากฎว่ามีคนอยู่เพียง ๒ กลุ่มเท่านั้น ที่ปฏิบัติเป็นศัตรูต่อกัน คือพวกเสื้อเหลือง – เป็นฝ่ายกระทำ พวกเสื้อแดง เป็นฝ่ายถูกกระทำ คนที่กระทำ ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาให้ตาย คนที่ถูกกระทำ ฮึดสู้ด้วยการจัดตั้งมวลชนคนเสื้อแดงขึ้นมายัน ทำให้ “การต่อสู้” เกิดการประจันหน้า จวนเจียนจะเกิดสงครามนองเลือด ดังตัวอย่างเช่น เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๑๑ – ๑๓ เมษายน ๒๕๕๒ (วันสงกรานต์เลือด) ที่คนเสื้อแดง นำโดย นปช.
รวมตัวกันขับไล่เผด็จการ รัฐบาลได้สั่งให้ทหารออกมาปราบด้วยมาตรการเด็ดขาด หากใครขัดขืน จะไม่มีการละเว้น ดังที่ได้ปรากฏเป็นข่าวอันน่าสะเทือนใจ

เหตุการณ์ในวันนั้น จบลงได้ภายในเวลาอันไม่นาน เนื่องจากฝ่ายแกนนำ “นปช.” ตัดสินใจยุติการขับเคลื่อนด้วยการยินยอมมอบตัวแก่เจ้าพนักงาน โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ กับเพื่อนแกนนำยอมเป็นผู้ต้องหา ไม่วิตกว่าจะได้รับโทษร้ายแรงเพียงไร

สมมติว่า แกนนำ นปช. ต้องการเอาชนะการต่อสู้ในวันนั้น ก็จะไม่มีการ “ลดราวาศอก”ใดๆทั้งสิ้น อันจะเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารกับประชาชน ถ้ามีการปะทะกันในวันนั้น เชื่อได้เลยว่าโฉมหน้าของประเทศไทยจะพลิกจากซีกหนึ่งไปอีกซีกหนึ่ง อันจะเป็นต้นเหตุให้ประชาชนทะลักออกมาสู้บนท้องถนนมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ มันจะกลายเป็นสงครามกลางเมืองก็ได้ หรือจะกลายเป็น “สงครามล้างเผ่าพันธุ์” ก็ได้




ประการที่ห้า : ปัญหาที่เกิดในประเทศไทยดังกล่าวมา เกิดจากระบบสังคมของประเทศนี้เป็นระบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่พากันแอบอิง “ระบอบ” เป็นที่พึ่งอาศัยแล้วพากันใช้อำนาจเผด็จการเข้าครอบงำสังคมเอาไว้ การครอบงำแต่ละครั้งล้วนแต่ได้ใช้วิธีกาอันไม่เป็นธรรมกับประชาชน เช่นการปฏิวัติเงียบ การใช้กำลังทหารยึดอำนาจการปกครอง เป็นต้น พวกเขากระทำกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ปรากฎว่าได้รับความสมหวัง (ชนะ) ทุกครั้ง นับแล้วมากกว่า ๒๘ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ! ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ ดังนั้น พวกเขาจึง “ย่ามใจ” ไม่เคยมีความละอายใจว่าได้กระทำความผิดต่อประเทศชาติและประชาชน ทำให้พวกเขากลายเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับประชาชนคนเสื้อแดง



ปฐมเหตุที่ ๒ : ประเทศไทยเป็นประเทศ ๒ อำนาจ ๒ เจ้าของ ?!

สาเหตุทั้งหลายทั้งปวง เกิดมาจากปัญหาเดียว ปัญหานั้นได้แก่ “อำนาจอธิปไตย” มีหลายเจ้าของ กล่าวคือที่ว่าประเทศไทยมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจนั้น แท้ที่จริง คำพูดดังกล่าวนี้ยังไม่เป็นความจริงได้เลย ความจริงที่แท้จริงได้แก่อำนาจอธิปไตยนั้นอยู่ในมือของอำมาตย์และพวกขุนนางน้อยใหญ่ รวมไปถึงอำนาจอธิปไตยทั้งปวง ไม่ได้เป็นของคนรากหญ้าโดยสมบูรณ์ แต่อำนาจทั้งปวงเป็นของคนรวยอย่างกว้างใหญ่ไพศาล
วิธีการทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ สำรวจได้จากสถานะของคนรวยนั้น จะได้อำนาจทางการเมืองจากการลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนรวยสามารถครอบครองปัจจัยการผลิต ปัจจัยการครองชีพได้มากมายไม่มีขอบเขต คนรวยและคนมีอำนาจจะสามารถเกาะกุมอำนาจ วาสนา และผลประโยชน์ที่เป็นไม่เป็นธรรม โดยไม่มีใครขัดขวางเขาได้ กล่าวให้เห็นชัดมากขึ้น โปรดดู
(๑) “อธิปไตยของปวงชน” ว่าเป็นจริงหรือไม่ ?
(๒) “เสรีภาพของประชาชน” มีความเป็นจริงเพียงไร ?
(๓) อำนาจใน “กรรมสิทธิ์” ต่างๆนั้น ประชาชนพากันมีได้จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นแต่เพียงคำยกย่องสรรเสริญให้หลงเข้าใจผิดว่าประชาชนได้ทุกอย่างเท่านั้น ?


สรุปแล้ว เจ้าของอำนาจที่อยู่เหนือกว่าประชาชนคนรากหญ้า ได้แก่พวกขุนนาง-อำมาตยาและพวกคนรวยทั้งหลายที่มีอยู่ในประเทศนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงพิเคราะห์ได้เลยว่าประชาชนมิได้เป็นเจ้าของอำนาจตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศนี้มีผู้ถืออำนาจเหนือประชาชน .. ?!

ปฐมเหตุที่ ๓ : ประเทศไทยเป็นเผด็จการซ่อนรูป ?!

ดังที่กล่าวมา ทำให้เราได้พบความจริงว่า “พวกขุนนาง-อำมาตย์และคหบดี” ทั้งหลายพากันอาศัยโครงสร้าง “อำนาจนิยม” แบ่งเป็นพวกใครพวกมัน ตั้งตัวเป็นใหญ่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ใช้อำนาจอันไม่เป็นธรรม เกาะกุมผลประโยชน์อย่างกว้างใหญ่ไพศาลทั่วแผ่นดิน แต่ด้วยเหตุว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข พวกเผด็จการทั้งหลายจึงพากัน “ซ่อนรูป” ในระบอบประชาธิปไตยด้วยความอบอุ่นและฮึกเหิมอย่างยิ่ง แล้วพากัน “กบดาน” ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัวโดยมิได้พะวงว่าประเทศชาติจะเกิดความเสียหายร้ายแรงเพียงไร ดังจะเห็นได้จากกรณีข้อขัดแย้งของคนไทยในวันนี้ พวกเขายังคงเดินหน้าก่อความเดือดร้อน ไม่ยอมหยุดการกระทำ แม้จะมีความแตกแยกเกิดขึ้น พวกเขาหาได้มีความวิตกกังวลแต่ประการใดไม่ ?!

แนวทางแก้ปัญหา :
(๑) วิธีการและ
(๒) ความหวัง

ผมอยากกราบเรียนต่อท่านผู้อ่านว่าคนไทยจะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งที่สุด เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปแบบอ้อยอิ่ง ไม่จริงใจ อันรังแต่จะก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมา

๑ : แนวทางแก้ปัญหามีวิธีการอยู่ ๒ อย่าง

แนวทางที่ ๑ : แก้โดยฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐ อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาล ทหารตำรวจ ข้าราชการและนักวิชาการทั้งหลาย ยอมรับรู้ความจริง แล้วรีบสร้างกฎหมายปรองดองแห่งชาติขึ้นมาโดยด่วน เพื่อจะได้จัดการให้คนไทย “ปรองดอง” กันทั่วประเทศ ประการสำคัญได้แก่การยอมรับความจริงว่าพวกตนได้กระทำกับ “พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร” อย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ย่อมไม่เป็นการยากที่จะแก้ปัญหาของชาติได้

แนวทางที่ ๒: ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องเป็นภาระของคนเสื้อแดงที่จะต้อง “ระดม”สรรพกำลังให้ได้คนเสื้อแดงถึงร้อยละ ๗๐ – ๗๕ ของประเทศ พลังเสื้อแดงมุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ให้พรรคการเมืองของฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะเด็ดขาดให้ได้ เพื่อจะได้มีโอกาสผลักดันให้เกิดการ “ยกเครื่อง” ประเทศไทยให้หลุดพ้นไปจากอำนาจเผด็จการ

๒ : ความปรารถนาและความสมหวัง ?

ผมเชื่อว่า ทุกท่านมีความปรารถนาอย่างร้อนแรงอยากเห็นประเทศไทยได้รับการแก้ปัญหา แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่าฝ่ายเผด็จการมีจุดยืนเป็นเสื้อเหลืองเกือบเต็มร้อยที่ ๑๔ จังหวัดภาคใต้ และอีกหลายพื้นที่ในภาคอื่น ยังคงทรงอิทธิพลอยู่ คนกลุ่มนี้มีผลประโยชน์อันอบอุ่น เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายครอบครองปัจจัยการผลิต และปัจจัยการครองชีพ พวกเขามีคนไทยเป็นลูกค้าทั้งประเทศ เกิดเป็นวันขึ้นมามีแต่ได้กับได้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฝ่ายกันข้ามคนเสื้อแดง เพราะคนเสื้อแดงจะเข้าไปลดอำนาจเถื่อนของพวกเขา ถ้าผมกล่าวเช่นนี้ ก็จะมองเห็นได้เลยว่า เป็นการยากที่จะได้รับความสมหวัง แล้วเราจะทำอย่างไร ?

คำตอบก็คือคนเสื้อแดงต้องเดินหน้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทำงานให้เกิดเอกภาพมากยิ่งขึ้น
มุ่งหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ ต้องคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งให้ได้


ผมขอเรียนกับท่านผู้อ่านว่าเหตุที่ผมเรียกร้องหา “แนวทางการเลือกตั้ง” ก็เพราะว่าแนวทางนี้เป็นแนว “ปฎิวัติสันติ” ตามต้นแบบของประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกถ้าประเทศไทยไม่ใช้การเลือกตั้งเป็นแนวทางแก้ปัญหา แต่พากันไปใช้ “ทหารเข้ามายึดอำนาจ” หรือกระทำด้วยวิธีการอื่นเช่น “โกงการเลือกตั้ง” เป็นต้น ก็จะทำให้คนไทยต้องเผชิญกับวิบากกรรมในการพัฒนาปรชาธิปไตยด้วยการกระบวนการ “โค่นล้ม” ด้วยพลังประชาชน”ปฎิวัติ” อันไม่พึงปรารถนา

ถ้าเป็นเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อนั้นจะมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์..!

เผด็จการจะเลือกเอาทางไหน...ขึ้นอยู่ที่พวกขุนนางทั้งหลาย ?!

จบบริบูรณ์ / สอาด จันทร์ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น